รับจ้างล้างจานมือเกือบเน่า
พอมาอยู่กรุงเทพก็มาอาศัยอยู่กับพี่สาว ไปสมัครงานที่ไหนก็ไม่มีใครรับ จบแค่ ป.6 เห็นร้านอาหารรับสมัครเด็กล้างจาน ก็เลยไปสมัครค่าจ้างวันละ2ร้อยบาท ล้างไปร้องไห้ไปเพราะเจ็บมือ แพ้น้ำยาล้างจานแพ้ผงซักฟอกจนมือเน่ามือเปื่อย แต่ก็ต้องทนไปหาถุงมือมาใส่ พอเงินเดือนออกได้เงินประมาน 6 พัน จ่ายโน่นนี่ไปก็เหลือ 4-5 พัน ก็เอามาลงทุนขายซาลาเปาต่อ คือกลางวันขายซาราเปา กลางคนรับจ้างล้างจาน ทำทุกอย่างที่ได้เงินเพื่อที่จะไปรับลูกมาอยู่ด้วยกัน
จนเราเห็นคนขายของในเฟสบุคส์ เราก็อยากมีรายได้เสริมบ้าง ให้เด็กที่เล่นเกมในร้านอินเตอร์เน็ตทำเฟสบุคส์ให้ ให้เขาสอนการเล่นเฟสบุคส์ เขาก็ไม่หวงวิชานะ สอนทุกอย่าง สอนการโพส การลงรูป จนเราทำเป็นจากนั้นก็ติดต่อไปที่เจ้าของอาหารเสริมและครีม บอกเราอยากขายของบ้างแต่ไม่มีทุนนะ อยากขายแบบไม่ต้องสต๊อกของได้ไหม เขาก็โอเค นี่แหลคือจุดเริ่มต้นของการขายของๆหลินในโลกออนไลน์
จากเด็กอีสานที่ใครๆเรียกว่า “อีหลิน” กลายเป็น “คุณหลินLSเศรษฐีนี 100 ล้าน”
ตอนแรกก็รับสินค้าของคนอื่นมาขาย ขายได้สักพักเก็บเงินได้ 2แสน ก็เริ่มจับธุรกิจของตัวเอง สร้างแบรนด์เป็นของตัวเอง หลินก็คิดซิแหมเราขายของๆคนอื่นได้ ทำไมเราจะขายของๆเราเองไม่ได้ หลินทำผลิตภัณฑ์ของตัวเองมากว่า 40 แบรนด์ ตอนแรกขายออนไลน์ ตอนนี้เน้นขายส่งในนาม LS Celeb คอสเมติค มีครีมและอาหารเสริมทุกประเภท ขาวผอม สร้างกล้ามเนื้อ สมรรถภาพทางเพศชาย ภายในผู้หญิง มีตัวแทนทั่วประเทศกว่าพันราย
เดือนแรกพี่มีกำไล 7ล้าน ตอนนั้นตกใจมาก นี่เราทำได้ยัง จะบ้าตายไม่เคยคิดว่าคนอย่างเราจะกำเงิน 7 ล้าน แต่ทุกอย่างมันก็ไม่ราบเรียบอย่างที่คิด เรากำเงินได้ไม่นาน ทุกอย่างก็ต้องพังทลายหมดเนื้อหมดตัว จากเหตุการณ์น้ำท่วมเมื่อปี 54 สินค้าเสียหมดเพราะน้ำท่วม ต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาอีกครั้ง ดวงนะมีขึ้นมีลง พี่เป็นคนไม่ยอมแพ้ เราต้องสู้ท่องไว้เราต้องสู้ สุดท้ายเราก็กลับมากอบกู้ธุรกิจเราได้อีกครั้งจนมีเงินหลังร้อยล้าน มีบ้าน มีรถ มีทุกอย่างที่เราหวัง
หัวใจแทบสลาย ลูกเกือบตายเพราะยาสลบ
หลังจากที่หลินมีทุกอย่าง หลินก็กลับไปรับลูก ขับเบนซ์ไปเลยนะ แต่ก็ไม่วายที่จะโดนแม่ผัวด่าหาว่าเราไปเป็นเมียน้อย มีผัวเสี่ย รถที่ขับมาก็คงเป็นของเสี่ยคนไหน ซึ่งเราก็ไม่เถียง เพราะไม่อยากพูดอะไร ได้แต่คิดว่าเสี่ยที่ไหนจะมาเอาคนแก่อย่างเรา ไปเอาเด็กวัยรุ่นสวยๆไม่ดีกว่าเหรอ แม่แกก็คิดได้เน่อ จากนั้นหลินก็รับลูกมาอยู่ด้วย หลินเอาลูกชายอายุ 6ขวบมาอยู่ ส่วนลูกสาวคนโตพ่อเขาไม่ให้ เราตกลงแบ่งลูกกันคนละคน ถามว่าอยากรับมาหมดเลยไหม อยากมากเราก็อยากให้ลูกอยู่อย่างสุขสบายทุกคน แต่ทางพ่อเขาก็มีฐานะ ส่วนเราอยู่ทางนี้เราก็ส่งเสียให้ลูกที่โน้นเหมือนกัน
และต้องมาดราม่าอีกครั้ง ต่อให้เรามีเงินร้อยล้านบางทีมันก็ยื้อชีวิตลูกเราไม่ได้นะ ถ้าเขาไม่ตื่น คือลุกของหลินเขาเป็นคนที่มีเปลือกตาหนามาก พาไปหาแพทย์เฉพาะทาง แพทย์บอกว่าต้องผ่าตัดออก เพราะถ้าไม่ผ่าตัดลูกก็อาจตาบอด เพราะขนตามันตำม่านตา เกิดการอักเสบ ลูกตาปิดลืมตาไม่ได้ แต่ถ้าผ่าตัด ด้วยเด็กวัย 6 ขวบ การวางยาสลบมันก็เสี่ยง 50/50 เพราะเขาเด็กมาก อาจจะไม่ฟื้น แพทย์ก็ให้เราเลือกว่าจะเอาแบบไหน เราก็ตกลงผ่าตัดดีกว่าเพราะไม่อยากให้ลุกมีปมตาบอดตลอดชีวิต แพทย์ก็ให้เซ็นยินยอม หากเกิดการผิดพลาดเสียชีวิตเราต้องยอมรับ
หลังจากผ่าตัดเสร็จ ลูกออกมา เราก็ถามแพทย์ว่าทำไมลูกเรายังไม่ฟื้น แพทย์บอกต้องรอให้เขาฟื้นเอง ไม่สามารถกระตุ้นได้ ถ้ากระตุ้นอาจเสียชีวิตไปเลย แต่ถ้าน้องเขาหลับไม่ตื่นเกิน 10 ชั่วโมงน้องเขาก็จะไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย หรือไม่ก็ต้องเป็นเจ้าชายนิทรา
ซึ่งเราก็จะไปโทษแพทย์ไม่ได้เพราะเราเซ็นยินยอมไปหมดแล้ว ได้แต่นอนร้องไห้ เราลุกตื่น ผ่านไป 6ชั่วโมงก็แล้ว 7ชั่วโมงก็แล้ว จนมาถึงหลับไป9ชั่วโมง ลูกยังไม่ตื่น ตอนนั้นกอดร้องไห้อย่างเดียว นี่เราพาลูกมาตายเหรอได้แต่โทษตัวเอง หาเงินมาตลอดชีวิตเพื่อให้ลูก ลูกจ๋าฟื้นขึ้นมาเถอะหัวใจแม่จะสลายอยู่แล้ว(ร้องไห้หนักมากๆๆๆ) นี่จะ 10 ชั่วโมงแล้วนะ ตอนนั้นได้แต่บนฟ้าดินขอให้ลูกปลอดภัย แล้วจะพาลูกไปทำบุญตลอดชีวิต พาไปช่วยเหลือสังคม พาไปช่วยเด็ก จากนั้นไม่นาน ปฏิหารก็เกิดขึ้นจริงๆ ลูกขยับมือ รีบบอกหมอบอกพยาบาลว่าลูกฟื้นแล้ว
เวลานั้นบอกเลยเราบอแลกทุกอย่างที่เรามีขอให้ลูกเราฟื้นขึ้นมา พอออกจากโรงพยาบาล ก็พาลูกไปทำบุญ ไปสร้างโบสถ์ สร้างห้องน้ำในวัด สร้างโรงอาหารในโรงเรียน สร้างเครื่องกรองน้ำใหญ่ๆให้โรงเรียนตามชนบท