อดีตอธิบดีกรมราชทัณฑ์ เผยควรคงไว้ซึ่งโทษประหาร !!


อดีตอธิบดีกรมราชทัณฑ์ เผยควรคงไว้ซึ่งโทษประหาร !!

สืบเนื่องจากกรณีการเผยแพร่เอกสารประชาสัมพันธ์ฉบับหนึ่งของกรมราชทัณฑ์ โดยมีเนื้อหาระบุถึงการลงโทษ ‘ประหารชีวิต' นักโทษในคดีฆ่าผู้อื่นอย่างทารุณโหดร้ายเพื่อชิงทรัพย์ เมื่อวันที่ 17 ก.ค.55 เหตุเกิดที่จังหวัดตรัง โดยได้มีการทำร้ายและบังคับให้เอาทรัพย์สิน รวมทั้งใช้มีดแทงผู้ตาย รวม 24 แผล เป็นเหตุให้เหยื่อถึงแก่ความตาย ซึ่งได้ดำเนินการเมื่อเวลา 15.00-18.00 น. โดยกรมราชทัณฑ์ ได้ดำเนินการบังคับโทษตามคำพิพากษาของศาล

     ล่าสุด เฟซบุ๊ก Wanchai Roujanavong ของ นายวันชัย รุจนวงศ์ อดีตอธิบดีกรมราชทัณฑ์ มีการโพสต์ความคิดเห็นเกี่ยวกับโทษประหารชีวิต ซึ่งไทยกำลังถูกโจมตีจากนักสิทธิมนุษยชนในขณะนี้ ว่า โทษประหารชีวิตถึงอย่างไรก็ควรมีเอาไว้ มิเช่นนั้นโทษสูงสุดจะเหลือเพียงจำคุกตลอดชีวิต และเวลามีการลดโทษจากการรับสารภาพ ก็จะทำให้โทษลดลงไปอีก พร้อมแนะนำเปลี่ยนวิธีการลดโทษ

"ประเด็นความขัดแย้งเรื่องโทษประหารชีวิตทุกวันนี้
เกิดจากการจัดระบบที่ผิดพลาด ไม่ดีเท่าที่ควร

เพราะการมีระบบลดโทษทั้งในศาลและในระบบราชทัณฑ์ ที่น่าพิจารณาว่าเป็นการสร้างปัญหาหรือไม่

ในศาล ถ้าจำเลยรับสารภาพ ศาลมักจะลดโทษให้ครึ่งหนึ่งเสมอ ไม่ว่าคดีนั้นจะมีพยานหลักฐานแน่นหนา ชัดเจนหรือพยานหลักฐานไม่แน่นหนา แต่มีพอเพียงที่เชื่อได้ว่าจำเลยทำผิด

ยกตัวอย่างการมีคลิปภาพที่ชัดเจนว่าจำเลยทำผิด ทำอย่างไร ชนิดที่ไม่ต้องให้จำเลยรับสารภาพ ก็ไม่มีข้อสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น

เทียบกับการใช้พยานบุคคลที่ยังต้องวินิจฉัยความน่าเชื่อถือ

การรับสารภาพของผู้ต้องหาหรือจำเลยจึงมีส่วนช่วยในการพิจารณาคดี

แต่คดีเกือบทั้งหมด ศาลลดโทษให้ครึ่งหนึ่งเสมอ

โทษประหารชีวิตจึงมีความจำเป็น

เพราะในคดีร้ายแรง เมื่อซาลสั่งประหารชีวิตแล้วลดครึ่ง
โทษจะกลายเป็นจำคุกตลอดชีวิต ตามกฎหมายเทียบให้เท่ากับจำคุกห้าสิบปี

ถ้ายกเลิกโทษประหารชีวิต โทษสูงสุดที่ศาลจะลงได้คือจำคุกตลอดชีวิต
แล้วเมื่อลดรับสารภาพครึ่งหนึ่ง โทษจำตุกจะเหลือเพียง 25 ปี

เมื่อมาถึงเรือนจำ จะมีระบบการลดโทษหลายหลาก

โทษจำคุกตลอดชีวิต ติดจริงๆ เฉลี่ยไม่เกิน 15 ปี ก็ออกมาได้แล้ว

โทษจำคุก 25 ปี ติแค่ประมาณสิบปีหรือน้อยกว่าก็ได้ออกแล้ว

เพราะในคุกแน่นไปด้วยนักโทษคดียาบ้า ทำให้ไม่มีทางเลือก ต้องหาทางระบายนักโทษเพื่อไม่ให้คุกแตก

ทางแก้อันหนึ่งสำหรับพวกที่ได้รับโทษประหารชีวิต แล้วไม่ถูกประหาร ไม่ว่าด้วยเหตุใด

พวกนี้ต้องมีเงื่อนไข ไม่ได้รับการลดโทษไม่ว่ากรณีใด เว้นแต่ในกรณี เหตุชราภาพเพราะติดคุกมานานและไม่สามารถออกไปก่อความเดือดร้อนให้สังคมได้อีกแล้ว

เราอาจต้องเปลี่ยนระบบการลดโทษให้นักโทษในคดีที่ศาลสั่งประการชีวิต
อย่าไปใช้มาตรฐานเดียวกับนักโทษทั่วไป

นี่อาจเป็นทางแก้ความขัดแย้งเรื่องโทษประหารชีวิตทางหนึ่ง

คือถ้าไม่ประหาร ด้วยการผ่อนผันไม่ว่าด้วยเหตุใด ผู้กระทำผิดนั้นต้องติดคุกตลอดชีวิตจริง

ไม่ใช่ติดไม่นานก็ออกมาทำความเดือดร้อนอีก"


ทุกประเทศก็มีปัญหาเหมือนไทย

คืออัตราการกระทำผิดซ้ำสูง

เพราะพอเข้าคุกครั้งแรก ก็ตกงาน ถูกไล่ออก

พอออกจากคุก ก็กลายเป็นคนมีประวัติ เป็นคนขี้คุก
สังคมกลัว ไม่กล้าไว้วางใจ ไม่มีใครจ้างทำงาน

แต่คนพวกนี้ก็ยังต้องกินต้องใช้ ต้องกาเงินเพื่อยังชีพ

เมื่อสังคมไม่ให้โอกาส ก็ต้องหาเงินด้วยวิธีการที่ผิดกฎหมาย

กลายเป็นคนทำผิดซ้ำซาก วนไปวนมาระหว่างคุกกับบ้าน

อาชญากรในสังคมจึงเต็มไปหมดทั้งเมือง

การไปอ้อนวอนให้คนทั่วไปยอมวางใจให้โแกาสอดีตนักโทษด้วยการให้งานทำ ยากมาก

เพราะในทางจิตวิทยา ใครๆ ก็กลัวอดีตนักโทษ
และยังมีกฎหมายกีดกันไม่ให้รับอดีตนักโทษเข้าทำงานมากมาย
กับไม่มีการลบประวัติ ไม่ว่าจะพ้นโทษมากี่ปี

การที่อดีตนักโทษ กระทำผิดซ้ำ ครึ่งหนึ่งมาจากตัวเอง อีกครึ่งหนึ่งมาจากการกดดันของสังคม

วิธีที่ยุโรปและประเทศเกือบทั่วโลกใช้คือ
ไม่เอาคนเข้าคุก ถ้าไม่จำเป็นหรือไม่ได้ทำปิดอุกฉกรรจ์

โดยเฉพาะยุโรป อย่างฟินแลนด์หรือเนเธอร์แลนด์
ที่ปิดคุกเพราะไม่มีนักโทษ

ประเทศพวกนี้มีมาตรการลงโทษที่หลากหลายมากที่นำมาใช้แทนโทษจำคุกอย่างได้ผล

ทำให้คนกลัวไม่กล้ามำผิด โดยที่ไม่ต้องเอาคนเข้าคุก

เช่นค่าปรับแพงมากๆ และการยึดทรัพย์มาใช้แทนค่าปรับ

อังกฤษ สก๊อตแลนด์ มีกฎหมายให้ศาลสั่งลงโทษให้ทำงานบริการสังคมได้ถึง 400 ชั่วโมง และสั่งใช้มาตรการอื่นไๆ ได้อีกมาก เช่นการสั่งให้ไปบำบัดรักษาอาการติดยา อาการติดเหล้า อาการป่วยทางจิต ฯลฯ

ประเทศในยุโรปอื่นๆ ก็ใช้มาตรการคล้ายกันกับอังกฤษ

การกักขังในบ้านด้วยกำไลข้อเท้า ไปทำงานได้ แต่ต้องกลับบ้านทันทีหลังเลิกงาน ห้ามออกไปไหนเป็นระยะเวลาตามที่ศาลสั่ง

การกักขังในที่คุมขัง เฉพาะวันหยุด วันศุกร์มารายงานตัวเข้าก้องขัง วันอาทิตย์ก็กลับบ้าน เตรียมไปทำงาน ทำอย่างนี้จนกว่าจะครบกำหนดกักขัง

การคุมปะพฤติอย่างเข้มข้น

ยังมีมาตรการอื่นๆ ในการลงโทษอีกมาก ที่จะทำให้ปู้ทำปิดเข็ดหลาบ และทำให้คนอื่นกลัว ไม่กล้าทำผิด โดยไม่ต้องส่งคนเข้าคุกถ้าไม่จำเป็นจริงๆ

ประเทศที่เอาคนเข้าคุกมากที่สุดคืออเมริกา มีนักโทษสามล้านกว่าคน มากที่สุดในโลก

ไทยเราทำตามก้นอเมริกา ด้วยการใช้นโยบายปราบอย่างเดียว

การแก้ปัญหาด้วยอาชญาวิทยาของไทยล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า

นึกอะไรไม่ออก ก็ส่งคนเข้าคุกทั้งที่ไม่จำเป็น
จนคนล้นคุกกว่าสามเท่า จนกรมราชทัณฑ์ใกล้ตายแล้ว

นักโทษตัวร้ายจริงๆ ก็ไม่ได้รับการบำบัดเท่าที่ควร
เพราะนักโทษมีมากเกินไปเยอะ

แล้วพอนักโทษแน่นมาก คุกจะแตก ต้องหาวิธีระบายด้วยการปล่อยออกมาด้วยวิธีการลดโทษแบบต่างๆ

ถึงเวลาต้องมาคิดเรื่องโทษที่เดิมมีแค่ห้าอย่าง ว่า
ควรจะมีโทษที่หลากหลายที่จะมาใช้แทนโทษจำคุกบ้าง

สร้างกฎห้ามไม่ให้มีนักโทษเกินแสนคน
ถ้เกินแสนคนต้องปล่อยคนที่โทษน้อยสุดออกมาด้วยการคุมประพฤติ ให้เหลือนักโทษไม่เกินแสนคน

ใช้มาตรการอย่างยุโรป มองปัญหาและแก้อย่างเป็นปัญหาสังคมบ้าง

ไม่ใช่มองว่าเป็นปัญหาอาชญากรรมที่ต้องปราบปรามอย่างเดียว
เรียกว่าคิดอะไรไม่ออก ก็จำคุก แก้กฎหมายเพิ่มโทษให้สูงขึ้นและสูงขึ้น
โดยไม่ใช้สมองคิดแก้ปัญหาด้วยวิธีอื่นเลย

การเอาคนเข้าคุก ควรใช้เป็นมาตรการสุดท้ายเมื่อจำเป็นเท่านั้น

อย่างเด็กแว้น ปรับคนละแสน และริบรถเท่านั้น ผู้ปกครองก็จะไปจัดการกันเอง

คนไทยกลัวเสียเงินมากกว่าติดคุก ไม่จ่ายค่าปรับริบทรัพย์ขายทอดตลาดทันที

เยาวชนทำผิด พ่อแม่ต้องจ่ายค่าปรับ ไม่จ่ายริบทรัพย์มาขายทอดตลาดจ่ายค่าปรับ

อย่าคิดแต่จะส่งคนเข้าคุกอย่างเดียว

เรือนจำเป็นเรือนเพาะชำอาชญากรที่มีประสิทธิภาพที่สุด

พยายามอย่าส่งคนเข้าคุกถ้ามีทางแก้ด้วยวิธีการลงโทษแบบอื่น

อดีตอธิบดีกรมราชทัณฑ์ เผยควรคงไว้ซึ่งโทษประหาร !!

ที่มาจาก FB Wanchai Roujanavong

อดีตอธิบดีกรมราชทัณฑ์ เผยควรคงไว้ซึ่งโทษประหาร !!

เครดิต :

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
ตามข่าวteenee.com จาก LineToday เข้าไปคลิ๊กกดติดตามได้เลย
กระทู้เด็ดน่าแชร์