คนไทย ตื่นตระหนก กับฝุ่น PM 2.5 มากเกินไปหรือเปล่า

แต่ปีนี้เป็นปีแรกที่สื่อมวลชนและโลกโซเชียลประโคมข่าวให้คนทั่วไปทราบค่า PM2.5 และมีคำเตือนว่า PM2.5 อันตรายต่อสุขภาพ ทำให้คนไทยเสียชีวิตก่อนวัยอันควรถึง 50,000 คนต่อปี ด้วยโรคหลอดเลือดหัวใจและสมองตีบตัน โรคถุงลมโป่งพอง โรคมะเร็งปอด และโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ ตัวเลขนี้เป็นเพียงการคาดคะเนทางระบาดวิทยา ต้องรอการศึกษาระยะยาวว่าจริงหรือไม่ แต่คนไทยในกทม.เกิดความตื่นกลัวเรียบร้อยแล้ว หาหน้ากากอนามัยและหน้ากาก N95 มาใส่ป้องกันตัวเองจนหน้ากากขาดตลาด และหมอได้สรุปว่า คุณภาพอากาศในกทม.อยู่ในระดับปานกลาง ไม่ได้แย่มากเข้าขั้นวิกฤตอย่างที่เป็นข่าวในปัจจุบัน "

นอกจากนี้อาจารย์เจษ ก็เข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็น ว่า "ผมว่าอาจารย์พิจารณาโดยการดูจากค่าเฉลี่ยทั้งปี แล้วจะบอกว่ายังอยู่ในเกณฑ์ดี อันนั้นไม่เหมาะสมนะครับ เพราะจริงๆในเชิงระบาดวิทยาแล้ว เราก็ควรจะเตือนประชาชนในช่วงฤดูกาลไหนก็ตามที่โรคระบาดเป็นพิเศษในช่วงนั้นอยู่แล้วนี่ครับ สมมุติเราพูดถึงโรคไข้หวัดใหญ่ เราก็คงจะไม่เน้นว่าเฉลี่ยทั้งปีแล้วประเทศไทยเรายังน้อยกว่าประเทศอื่นๆ แต่เดือนใดหรือฤดูใดก็ตามที่ไข้หวัดใหญ่ระบาดมากเราก็ต้องออกมาเตือนประชาชนกันไม่ใช่เหรอครับ ... ฝุ่น PM 2.5 ก็เช่นเดียวกันครับ ที่เราแทบจะไม่เคยเตือนประชาชนเลยว่า ช่วงปลายปีถึงต้นปีจะมีค่าฝุ่นรุนแรงมากถึงระดับวิกฤติ บางวันก็เกิน 80 ถึง 100 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรไปเลยนะครับ หรืออย่างเรื่องที่ค่าฝุ่นจะมีมากในช่วงเช้ามืด มากกว่าตอนกลางวันซะอีก ก็ไม่เคยเตือนประชาชนกันให้ระวัง คนก็ยังออกไปออกกำลังกายตอนเช้า ยิ่งสูดฝุ่นเข้าไปเต็มๆ ... จริงๆแล้วเราควรให้คนไทยตระหนักถึงเรื่องนี้มากขึ้น แต่ไม่ควรจะตื่นตระหนกจนเกินไป ถึงขนาดที่ว่าอากาศดีก็ยังใส่หน้ากาก n95 กันอยู่ นั่นคือทำไมเครื่องตรวจแบบพกพาถึงมีประโยชน์มากกับสถานการณ์เช่นนี้ครับ แล้วจริงๆแล้วทานอเมริกา US epa ก็แนะนำให้ประชาชนใช้เครื่องตรวจพวกนี้ได้ครับ ขอแนะนำบทความของอาจารย์สนธิผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมนะ "

อย่างไรก็ตามไม่ว่าสภาพอากาศจะเป็นอย่างไร Teenee.com ขอให้ทุกท่านรักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ

เครดิตแหล่งข้อมูล : หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC