ทำเอาล้มทั้งยืน เมื่อ ชายหนุ่ม เจอ หญิงสาว ผ่านบริษัทจัดหาคู่

ทำเอาล้มทั้งยืน เมื่อ ชายหนุ่ม เจอ หญิงสาว ผ่านบริษัทจัดหาคู่

นับว่าเป็นเรื่องราวที่เป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ของชาวเน็ตอยู่ในขณะนี้เลยก็ว่าได้ หลังจากที่ "สมาชิกเว็บไซต์พันทิป หมายเลข 3493100" ได้ออกมาตั้งกระทู้เรื่อง "สามเดือน 3 แสน+ กับผู้หญิงคนเดียว มาฟังเรื่องของผมกันครับ ไม่รู้จะเล่าให้ใครฟังดี"  โดยมีเนื้อหาดังนี้

" .... ผมจะค่อยๆ เล่าไปเรื่อยๆ นะครับ จะคิดว่าเป็นเรื่องแต่งก็ได้นะครับ ไม่ว่ากัน ที่มาเล่าเพราะไม่รู้จะพูดยังไงกับใครดี บอกใครก็ไม่ได้ รู้สึกเหนื่อยใจกับปัญหาที่พยายามแก้เท่าไหร่ก็ยิ่งมีมากขึ้นไม่จบสิ้น วันนี้ ผู้หญิงที่ผมคบด้วย (ฝ่ายเดียว เพราะเค้าคงไม่คบนานแล้ว) เค้าบล็อกผมพร้อมกับเงินสามแสนในบัญชีเค้าที่ผมโอนให้กับมือ มันเกิดขึ้นได้ยังไงผมก็เหนื่อยใจเหมือนกัน

สามเดือนก่อน ผมเจอกับผู้หญิงคนนึงผ่านทางบริษัทจัดหาคู่แห่งนึง ชื่อประมาณว่านัดพบฯ ก็แล้วกันนะครับ ทางนัดพบก็แนะนำโปรไฟล์มาให้หลายคน ก็เลือกๆ อยู่สักพักก็ไปตามนัดแต่ก็ไม่เจอคนไหนที่ถูกใจ จนมาถึงคนนี้

วันที่นัดเจอ ผมจำได้ดี วันนั้นผมนึกว่าจะไปสายเสียแล้ว เพราะผมไม่เคยไปนัดสายเลย แต่วันนั้นกะเวลาผิด เพราะไม่ค่อยได้ไปแถวนั้นเลย ผมก็แจ้งน้องไปว่าเดี๋ยวอาจจะไปถึงช้าสักหน่อย ส่วนน้องก็แจ้งว่าจะถึงช้าเหมือนกัน เพราะติดธุระอยู่ ก็โล่งอกไปครับ ก็ปรากฏว่าไปถึงก่อน ก็นั่งรอโดยที่ผมไม่เคยเห็นน้องมาก่อน และน้องก็ไม่เคยเห็นผมมาก่อน โดยปกติแล้วทางนัดพบฯ จะไม่ให้รู้ข้อมูลอะไรไปมากกว่าว่า ชื่อ สูง นน ทำงาน อะไรยังไง มีพื้นเพนิดๆหน่อยๆ แต่ไม่ละเอียดมาก
 
ผมนั่งรออยู่ได้ประมาณ 15 นาทีน้องก็มาถึง ตอนแรกผมก็ไม่แน่ใจว่าคนไหน เพราะมีลูกค้าท่านอื่นเดินเข้ามาในร้านอยู่คนสองคน แต่พอน้องเดินเข้ามาก็เดินมาหาโต๊ะผมพร้อมกับนั่งลงแล้วยิ้มโดยไม่ถามเลยว่าใช่ผมที่นัดหรือเปล่า นับเป็นความประทับใจแรกของผมกับน้องเลยครับ น้องเป็นคนน่ารัก ดูมั่นใจ แต่งตัวเก่ง ผมชอบการแต่งหน้าของน้องมาก ขนาดเก็บไปพูดถึงในภายหลังว่าชอบการแต่งหน้าตรงไหนบ้าง วันนั้นเราคุยกันอยู่ร่วมชั่วโมง หรืออาจจะมากกว่านิดหน่อย ผมไม่ค่อยอยากพูดอะไรดัง เพราะมีพนักงานยืนอยู่ไม่ไกล ผมไม่ค่อยชอบพูดให้คนอื่นได้ยิน หรือให้เค้ารำคาญ หรือรับรู้เรื่องราวส่วนตัวเราเท่าไหร่ ก็เลยพูดได้แค่เรื่องทั่วๆ ไป ไม่เน้นอะไรมาก

การพูดคุยของเราสองคนเหมือนจะเข้ากันได้ดี ผมก็เล่าเรื่องอะไรต่างๆ ไปหลายอย่าง น้องเองก็เล่าเรื่องอะไรต่างๆ มาแลกเปลี่ยนกัน พูดถึงการนัดที่ผ่านมา ก็ขำไป หัวเราะไป บางทีก็ไม่ค่อยกล้ามองหน้านาน เพราะน้องน่ารักมากในความรู้สึกผม ถึงแม้ผมจะเคยมีแฟนที่หน้าตาดีๆ มาบ้างหลายคนแล้วก็ตาม
 
วันนั้น ผมนั่งแท็กซี่ไป แล้วก็ต่อวินไปอีกที เพราะกลัวจะไปไม่ทัน พอไปถึงก็ต้องเดินต่อไปอีกนิดเพราะไม่รู้ร้านอยู่ตรงไหน รู้แต่ว่าซอยอะไร ขากลับก็เลยต้องอาศัยกลับกับน้อง น้องตอนแรกว่าจะไปส่งถึงที่ แต่ผมเกรงใจเลยบอกว่าส่งแค่ BTS ก็พอ ตอนที่อยู่ในรถ น้องเป็นคนสะอาดพอสมควร รถเป็นระเบียบเรียบร้อย น่านั่งมาก ผมก็ยิ้มๆ แล้วก็คุยไปปกติ มีจังหวะนึงที่ผมถามว่า น้องคิดว่ายังไงบ้าง เค้าก็ตอบว่าก็โอเค ก็คุยได้ แล้วถามผมว่า ผมรู้สึกยังไง ผมตอบไปตามตรงว่า ถ้าผมเป็นน้อง ผมจะไม่เลือกผม เพราะผมไม่มีอะไรดี แต่ถ้าให้โอกาส ผมก็จะทำให้เต็มที่

น้องถามผมว่า ทำไมถึงคิดว่าตัวเองไม่ดี ผมตอบไปตามตรงว่า สำหรับน้อง คงมีคนที่เข้ามาคุยด้วยเยอะ ทั้งฐานะดี หน้าตาดี มีความพร้อมกว่าผม แต่ผมเองถึงจะไม่ได้แย่ขั้นหนักหน่วง แต่ก็ไม่ได้เพียบพร้อมอะไรเมื่อเทียบกับคนอื่น
 
ขอเกริ่นพื้นหลังน้องกับผมสักนิดนะครับ ถ้าใครรู้จัก หรือคุ้นๆ ก็อย่าได้คิดอะไรมากครับ เอาเป็นเรื่องนี้อาจจะพ้องกับเรื่องราวบุคคลที่ท่านรู้จักก็แล้วกัน น้องเป็นที่ปรึกษาด้านการเงินของบริษัทแห่งนึง รายได้ค่อนข้างดี เอาเป็นประมาณแถวๆ สองแสนก็แล้วกันครับ ส่วนผมทำงานอิสระเกี่ยวกับภาษา ถึงแม้ตัวงานจะดูง่าย ไม่มีกฏอะไรมาก ไม่ต้องเข้างานเช้าออกงานเย็น แต่ก็ต้องทำงานวันละ 14+ ชม และไม่มีวันหยุด ส่วนตัวผมรวมรายได้แล้วก็เดือนนึงประมาณ 250k-350k แล้วแต่ความขยัน แต่รายจ่ายผมก็ค่อนข้างเยอะ เพราะต้องส่งที่บ้านด้วย คุณพ่อผมมีหนี้สินจำนวนนึง แต่ก็ไม่ได้ส่งประจำ

พอแยกย้ายจากกัน ผมก็พยายามที่จะไม่ทำนิสัยแย่ๆ ก็คือไม่จุกจิก ไม่วุ่นวาย ไม่ไปตามอะไรมาก ส่งข้อความสั้นๆ ไปบอกแค่ขอบคุณนะครับสำหรับวันนี้
เดี๋ยว จะค่อยๆ เล่านะครับ มันยาว ผมก็ไม่รู้จะเข้าเรื่องได้เลยยังไงดี จะพยายามเล่าให้เป็นกลางที่สุดก็แล้วกันครับ เผื่อน้องเข้ามาอ่าน จะได้รู้ว่า ผมพยายามที่สุดแล้ว แม้ในวินาทีนี้ก็ยังพยายามอยู่

ช่วงนั้นผมท้อใจมาก ผมเล่าให้เพื่อนฟังว่า แต่ก่อนเคยบอกว่า อยากเจอผู้หญิงสักคนที่เก่ง ฉลาด ทำงานเป็น สวย หุ่นดี ผิวดี หน้าตาดี ซึ่งใครๆก็บอกว่า มันไม่มีหรอก มันเป็นไปไม่ได้ จะหาแบบนั้นจากไหน บ้าเหรอ แต่เปล่าเลยครับ พอวันนึงผมได้เจอจริงๆ ผมรู้เลยว่า มีจริงนะ แต่เราไม่คู่ควรหรอก
ช่วงแรกๆ นั้นผมไม่ค่อยส่งอะไรไปให้น้อง เราคุยกันแค่ในไลน์นิดๆ หน่อยๆ เพราะอันที่จริงผมก็ตัดใจไปแล้ว ได้แต่ไปเล่าให้เพื่อนในกลุ่มไลน์ฟังว่า เนี่ย เจอผู้หญิงคนนึง เป็นผู้หญิงในฝันเลย แต่มันไม่มีทางเป็นจริงได้ เพราะเค้าอยู่ไกลเกินไป

แต่ก็บังเอิญว่าน้องจะรับปริญญาใบที่สอง ก็เลยถามผม เพราะผมชอบถ่ายรูป ผมก็บอกว่าไปได้ครับ ก็อยากไปอยู่แล้ว อยากทำให้ไม่ใช่อะไรหรอกครับ แค่คิดว่าอะไรทำให้ได้ก็จะทำ ประมาณ 2-3 วันต่อมา น้องบอกว่าเพื่อนทิ้ง voucher โรงแรม ก็เลยอยากไปแทน ก็ถามผม ผมก็บอกว่าไปได้ครับ ก็แซวๆ ว่ากลัวโดนปล้ำมั้ย ผมก็เฉยๆ นะ ในความรู้สึกเราคือ เราจริงใจ และจริงจัง ไม่ค่อยอะไรอยู่แล้ว ไปก็คงไปแบบเป็นเดทกันเฉยๆ แต่กว่าจะได้ไปกันจริงๆ ก็ยึกยักอยู่นาน จนสุดท้ายผมก็จองโรงแรมให้แล้วก็ไปกัน โดยที่ไม่ได้ใช้ voucher ที่ตอนแรกเป็นต้นเหตุให้อยากไปแต่อย่างใด

พอจะไปจริงๆ กลายเป็นว่า อย่างที่บอก ผมไม่มีรถ แต่ผมขับได้ แค่ไม่ชินเท่าไหร่ ส่วนน้องก็ขามีปัญหา เจ็บเอ็นเลยขับไม่สะดวก ผมก็อาสาขับให้ น้องก็มารับที่คอนโดผม แต่พอผมจะขับน้องก็ไม่ยอม บอกว่าผมขับไม่เก่ง ดูแค่วงเลี้ยวก็รู้ละ ผมก็ยืนยันว่าจะขับให้เพราะเป็นห่วง แต่น้องพูดเสียงดังขึ้นมา ถ้าไม่ให้ขับก็ลงไปเดี๋ยวนี้ ผมก็เลยลงให้น้องมาขับแทน ก็ขับๆ ไปจนถึงที่หมาย เป็นโรงแรมติดทะเลใกล้ๆ กรุงเทพนี่แหละครับ สองสาม ชม ก็ถึงละ เราก็ไปที่พักกัน แล้วก็ถ่ายรูปเล่นนิดหน่อย แล้วก็ไปกินข้าว ผมลองถ่ายรูปน้องดู ถ่ายยังไงก็ไม่ได้ดั่งใจ ผมคิดว่าแสงคงหมดไปแล้วละ เพราะไปถึงก็มืดแล้ว ก็ไม่รู้จะถ่ายยังไง น้องก็ถามดู แล้วก็บอกว่า เออ พี่ถ่ายไม่ค่อยสวยจริงๆ ผมฟังเงียบๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร

วันนั้นกินข้าวกันเสร็จ ก็กลับมาห้อง คุยกันนิดหน่อย อาบน้ำ ต่างคนต่างนอน ผมเองเป็นคนนอนกรน ก็เลยต้องรอให้น้องหลับก่อน แต่น้องก็หลับไม่ค่อยได้ เพราะผมหลับเร็วมากๆ ประมาณนับ 1 ถึง 10 ผมหลับแล้ว ตื่นเช้ามาน้องก็บ่นๆ แต่ก็ไปถ่ายรูปกัน ถ่ายกันจนถึงเกือบเที่ยงก็เช็คเอาท์แล้วกลับ โดยมีแวะกินข้าวนิดหน่อย

น้องชอบรูปมาก เริ่มชมว่าถ่ายสวย ผมก็เฉยๆ ไม่อยากพูดอะไร ก็ชอบก็ดีแล้ว แล้วก็พูดเรื่องไปถ่ายงานรับปริญญากันต่ออีกนิด ช่วงนั้นน้องโพสต์รูปที่ผมไปถ่ายให้บ่อยๆ และเราก็คุยกันมากขึ้น ผมเองก็พยายามทำอะไรๆ ให้เหมือนเดิม ไม่ได้ทำเพราะอยากได้คะแนนนะครับ แต่ทำเพราะเรารู้สึกว่า ทำให้ได้ก็จะทำ อย่างเช่น ช่วงใกล้ๆ งานรับฯ น้องอยากได้กิ๊ฟหนีบผม ผมก็ไปหามาให้ น้องไม่ว่างมาเอา ผมก็ส่งไปให้ในคืนนั้น ช่วงนี้เป็นช่วงที่ผมเริ่มสังเกตว่าน้องชอบพูดอะไรไม่ได้หมายความอย่างนั้น

คือ ผมสังเกตว่า อย่างเช่นจะไปเที่ยวทะเล น้องก็พูดวนไปวนมาหลายรอบ คือพูดแค่รอบแรกผมก็ตกลงแล้วครับ แต่น้องไม่ตกลง ต้องแบบกึ่งๆ บังคับด้วยการจองโรงแรมแล้วนะ อันนี้นะ สวยนะ บลาๆๆ ถึงจะโอเค ทีนี้พอใกล้วันรับ น้องเคยชวนว่าไปนอนค้างที่โน่นมั้ย เพราะเค้าต้องไปคนเดียว แค่พูดผมก็รับปากแล้วครับ ผมไม่ค่อยลีลา คือพูดแล้วทำ ไม่พูดก็ไม่ทำ แต่น้องจะแบบ ยึกยักไปๆ มาๆ ไม่เข้าไม่ออก ไม่ตกลงสักที เดี๋ยวก็บอก เพื่อนจะไปด้วย เดี๋ยวก็เพื่อนไม่ไปแล้ว เดี๋ยวก็จะไปคนเดียว จนผมพูดไปว่า ตกลงจะให้ไปมั้ย ถ้าไม่ ก็บอกว่าไม่ จบ

น้องเลยบอกว่า ไม่ค่ะ ผมเลยบอกว่า โอเค ก็แค่นั้นละ จะวนไปมาให้มันยากทำไม เพราะผมเองก็ต้องจัดเวลาด้วยถ้าจะไปก็ต้องเคลียร์งาน เตรียมของ เตรียมคอมไปทำงานด้วย ระหว่างนั้นน้องมีช่างภาพที่จะไปถ่ายงานอยู่แล้ว แต่ปรากฏว่า ถ่ายไม่สวย ไม่ได้ดั่งใจ ก็มาบ่นๆ ให้ฟัง ผมเลยกลายเป็นได้ไปด้วย จะได้ไปนอนเป็นเพื่อน แล้วก็จะได้ถ่ายรูปให้ด้วย อาจจะมีพิมพ์ตกไปบ้างต้องขออภัยนะครับ รีบพิมพ์รีบกดส่ง จริงๆถ้าเล่าปากเปล่าจะเร็วกว่านี้มาก แต่พอพิมพ์แล้วต้องเรียบเรียงด้วย ก็เลยช้า

การเดินทางก็เหมือนเดิมครับ ต้องขับรถ ผมก็สงสารจับใจ เค้าไม่ให้ผมขับ และผมก็ไม่เก่งเส้นทาง ไม่เก่งการขับในเมือง คือผมมาจากบ้านนอกน่ะครับ ถ้าขับต่างจังหวัดนี่พอได้ แต่ขับในเมือง ยิ่งเวลากลางคืน ยิ่งไม่ถนัดจริงๆ มองไม่ค่อยเห็นทาง น้องก็ขับไปบ่นง่วง บ่นเหนื่อยไป ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง ช่วงนั้นฝนตกหนักมาก น้องชอบขับเร็ว ผมก็ยิ่งเป็นห่วง แล้วยังมาหลงทางอีก

กว่าจะไปถึงก็เที่ยงคืนกว่าๆ แต่นั่นไม่เท่าไหร่ ที่ตกใจคือ ทำไมที่พักมันแย่จัง เป็นบ้านหลังนึงที่เปิดให้เป็นที่พัก น่าจะแบบชั่วคราว ไม่ได้ทำประจำ แต่ทำช่วงที่มีรับปริญญาเฉยๆ ค่าห้องคืนละ 5,000 บาทแต่แบบสภาพแย่มาก ไม่สมราคา ผมก็เลยถามว่า คืนก่อนหน้านี้มานอนได้ยังไงคนเดียว เปลี่ยวขนาดนี้ ฯลฯ

คืนนั้นก็ไม่มีอะไร ต่างคนต่างรีบเข้านอน ผมก็ทำงานต่อสักพักแล้วก็นอน ส่วนน้องนอนไม่ค่อยหลับเพราะผมนอนกรนอีกแล้ว ก็ไม่รู้จะทำยังไง น้องเลยไล่ผมไปนอนห้องนั่งเล่น ผมก็ไป นอนหนาว หรือร้อนจำไม่ค่อยได้ จนดึก เลยกลับเข้าไปในห้องนอน นอนอีกฝั่งจนถึงตีสาม น้องก็ตื่นมาบ่นๆ ว่าไม่ได้นอน แล้วต้องรีบมาแต่งหน้าแต่งตัวไปซ้อม

ช่วงเวลา 3-4 วันที่อยู่ที่มหาลัยน้อง ผมจะตื่นมาพร้อมน้อง คอยทำนั่นทำนี่ให้ หยิบโน่นหยิบนี่ แล้วก็ไปส่งที่มหาลัย แล้วก็เอารถน้องกลับมาจอด พอถึงสักสิบโมงเช้าก็จะออกไปรอน้องหลังออกจากห้องประชุม เป็นแบบนี้วนไปจนครบ

วันแรก น้องสั่งอาหารเช้ามา แต่สั่งสำหรับคนเดียว พอตื่นเช้ามาน้องก็นั่งกินข้าว โดยที่ผมนั่งตรงหน้า และมองเฉยๆ น้องไม่เรียกสักคำ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร คือผมก็หิวนะ แต่น้องไม่เรียก ไม่พูด นั่งกินเฉยๆ แล้วก็บอกว่า จะออกไปละ แล้วก็ออกไป

ทุกวันก็จะเป็นคล้ายๆ กัน แต่วันหลังๆ ผมได้กินข้าวด้วยแล้วเพราะสั่งมาสำหรับสองคน ผมก็ทำหน้าที่เหมือนเดิมครับ เฝ้ากระเป๋า เฝ้าของ ให้เงินไปจ่ายค่ากรอบรูป ค่านั่นนี่ คอยรับโทรศัพท์ให้ในบางวัน โทรจองช่างทำผม จัดเตรียมดอกไม้สำหรับวันจริง อะไรประมาณนั้น แล้วก็ไปถ่ายรูปให้น้อง แล้วก็เพื่อน ถ้าวันไหนเค้าจะถ่ายกันเองผมก็จะรอที่โต๊ะจนกว่าเค้าจะกลับมา แล้วก็เดินถือของให้ จนครบวันรับปริญญา

บางครั้งน้องก็บอกว่ายืมเงินก่อน จะจ่ายนั่นจ่ายนี่ แรกๆก็สองพัน อะไรแบบนี้ แต่ก็ไม่เคยพูดถึงนะครับ อันนี้ผมเกริ่นมาก่อน ว่าปัญหามันเริ่มเกิดทีละนิดแล้ว พอกลับมา ก็คุยกันในไลน์ปกติ มีวันนึง น้องส่งรูปมา แล้วใส่กางเกงแบบที่เป็นแฟชั่นขาดๆ ผมก็ทักไป น้องก็บอกว่า ใส่กางเกงขาดๆ แต่ขับพอร์ชนะ ตอนนั้นผมเองก็ไม่รู้ลึกตื้นหนาบางว่าน้องฐานะอะไรยังไง ก็คิดว่าคงเป็นรถที่บ้าน ก็คงมีฐานะประมาณนึง เพราะมีบัตรแซงคิวหลายธนาคาร ผมนี่ไม่มีเลยครับ อันนี้เรื่องจริง

อนึ่ง ผมมาทราบเอาทีหลังว่า จริงๆ แล้วเรื่องรถหรูอะไร ไม่ใช่ของน้อง แต่เป็นของแฟนเก่า... ก็ไม่รู้จะเอามาอวดทำไมตอนนั้น เคยถามผ่านๆ น้องบอกว่า ที่บริษัทนัดพบฯ บอกว่าผมอีโก้สูงมา ก็เลยให้มาปราบ ก็เลยเอาเรื่องนั่นเรื่องนี่มาข่มมาอวด จริงๆ ไม่ใช่เป็นคนขี้อวดอะไรแบบนั้นหรอก ผมก็ฟังแล้วเฉยๆ แค่งงว่า ไม่เห็นจำเป็นต้องทำแบบนั้นเลย

หลายคนเรียกร้องให้เข้าประเด็นเลย ผมก็ว่าเข้าเลยดีกว่า แต่จะไม่รู้พื้นหลังนะครับ มันจะงงๆ นิดนึง ก็เอาเป็นว่า ช่วงแรกๆ ผมก็ชวนไปไหน ผมออกเองหมด เวลาดูหนัง ก็จะนัดดูโรงหนังแบบ First Class ดูตั๋วละ 1,000 บาท ไปสองคนก็ 2,000 บาท จะกินข้าว จะอะไรผมออกหมด ไม่เคยมีสักครั้งที่น้องออก ซึ่งผมก็ไม่ว่าอะไร คือออกได้ และไม่ได้เป็นโปรโมชั่น แค่คิดว่า อยากทำให้ และถ้าเราทำดีให้ใคร เราก็อยากเห็นว่า เค้าเห็นในสิ่งที่เราทำบ้าง ซึ่งตรงนี้แหละที่มันทำให้มีปัญหากัน

เรื่องราวแต่ละวันก็ยังเดินต่อไปเรื่อยๆ คือไปดูหนังกันบ่อย บางสัปดาห์ดูหนัง 3 เรื่อง ก็เหมือนเดิมครับ ดูโรง First Class ดูทีนึงก็สองพัน จนตอนหลังๆ ผมมาพูดเรื่องดูหนังว่า ดูธรรมดาได้มั้ย น้องก็ไม่พอใจ บอกว่าหมดโปรโมชั่น ผมก็อธิบายว่า มันไม่ใช่ คือดูได้ แต่ดูวันเว้นวัน มันไม่น่าจะดี เพราะมันสิ้นเปลือง ถ้าอยากนอนดูสบายๆ เราค่อยซื้อแผ่นมาดูทีหลังก็ได้นี่นา แต่น้องก็ไม่เข้าใจ ทะเลาะกันไปๆ มาๆ จนไม่ยอมไปดูหนังกับผม เวลาพูดเรื่องดูหนังก็จะบอกว่า จะไปกับเพื่อน เพราะไปกับผม ผมเสียดายค่าตั๋วหนัง

ผมถามสั้นๆ แค่ว่า เวลาไปดูกับเพื่อน ดูโรง First Class กันมั้ย? ตอบว่าเปล่า แล้วแต่เพื่อน ถ้าเพื่อนดูก็ดู .... อืม ก็นั่นไง คือจะดูทุกเรื่องทุกรอบ มันไม่ใช่ ผมเองก็ไม่ได้บอกว่าห้าม แต่ให้ดูความเหมาะสม คือเรื่องไหนหนังดีก็ดูได้ แต่เรื่องแบบธรรมดาๆ ก็ดูธรรมดาๆ หรืออย่างมากก็โซฟาหลังสุดได้มั้ย ก็งอน ไม่พอใจ ผมก็เลยไม่ค่อยได้ดูหนังด้วยหลังจากนั้น แต่เรื่องไม่จบแค่นี้ เรื่องก็ลามไปอย่างอื่น ไม่ว่าจะไปเที่ยว หรือไปอะไร ก็จะประชดว่าเปลือง ไม่อยากไป ฯลฯ

ผมก็พยายามแก้ไข แต่ก็ไม่รู้จะแก้ไขยังไงให้มันได้ ปัญหาทะเลาะกันก็เริ่มจุกจิก อย่างตัวผมเองเป็นคนหน้าตานิ่งๆ ไม่ค่อยแสดงอะไรออกทางสีหน้า ถ้าไม่รู้สึกว่ามันฮา หรืออะไรจริงๆ เค้าก็จะไม่พอใจ หาว่าเจอแล้วไม่สนใจ ผมก็อธิบายไปทุกครั้งว่า อยู่กับคุณมีความสุขนะ ถึงจะไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า แต่ก็ชอบเวลาอยู่กับคุณไปไหนมาไหนด้วยกัน นั่งรถไปด้วยกันอะไรแบบนี้มีความสุขแล้วครับ

แต่มันก็คงไม่พอ เค้าให้เหตุผลว่าทำงานหนัก ต้องเจอลูกค้า ต้องทำงานเครียดๆ พอมาเจอผมแล้วทำหน้าเครียด ทำหน้าเก๊ก เค้าไม่ชอบ ผมก็เลยเปลี่ยน พยายามทำหน้ายิ้มแย้ม พยายามชวนคุย แต่ด้วยนิสัยเค้าเองที่เค้าอาจจะไม่รู้ เวลาไปไหนเค้าก็จะชอบทำหน้าเชิดหยิ่ง เดินนำหน้าผมไปก่อน ผมก็ได้แต่ทำใจ เดินตามหลังไปติดๆ
 
หลังจากนั้น ก็มีทริปไปเที่ยวจีนกัน ก็เหมือนเดิมครับ ผมออกให้หมดทุกอย่าง ก็ชวนไปด้วย ผมเองถึงจะไปทำธุระให้เพื่อน แต่ก็มีเวลาเยอะ ก็เลยชวนไปด้วย จะได้ถ่ายรูป เที่ยวอะไรๆ กัน เพราะน้องเค้าเองก็พูดภาษาจีนได้คล่อง แต่ไม่เคยไปเมืองนี้ ก็เลยไปกันตามนั้น

พอกลับมา ผมเริ่มจริงจังมากขึ้น ก็บอกไปว่า อาจจะไม่ได้ไปเที่ยวบ่อยๆ นะ แต่ว่าจะเก็บเงิน เราจะได้มีเงินก้อน แล้วจะไปเที่ยวไหนไกลๆ ก็ค่อยไป น้องก็ทำหน้าเศร้า ตัดพ้อว่าผมไม่มีโปรฯ ให้แล้ว ไม่สนใจพาไปเที่ยวแล้ว ผมก็อธิบายไป คือน้องจะอยากนั่ง business class หรืออะไรแบบนั้น ผมบอกว่ามันค่อนข้างแพง เราไป eco ได้มั้ย ซึ่งน้องก็บอกว่าได้นะครับ แต่สำหรับเส้นทางสั้นๆ เท่านั้น ถ้าเส้นทางไกลๆ บินเป็นสิบ ชม ขอให้นั่ง biz ผมก็ไม่ว่าอะไร ก็แพลนๆ ไว้บ้างแล้วว่าอยากไปไหน เพราะฝันเค้าคือไปเที่ยวรอบโลก แต่พอพูดเรื่องเที่ยวรอบโลกจริงๆ ขึ้นมา ก็มาติดว่าต้องทำงาน ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง

หลังๆ มาเริ่มมีปัญหากันหลายอย่าง โดยเฉพาะความเชื่อใจ ผมเองยอมรับ และสารภาพกับน้องไปตรงๆ ว่าทำไมถึงเก็บเงินไม่ได้ ทั้งที่หาเงินได้เยอะ ผมบอกไปตามตรงว่า เมื่อก่อนหาได้เดือนละแสนสอง ไม่เกินนั้น พอออกจากบริษัทมา ก็มาทำฟรีแลนซ์เหมือนเดิม กลายเป็นว่าได้มากขึ้น กลายเป็นแสนห้า แล้วก็ได้มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะรับงานมาหลายที่ ก็มานั่งทำทั้งวันทั้งคืนไม่ไปไหน จนมีช่วงที่เลิกกับแฟนเก่าไปก็ทำได้เดือนละสามแสนแล้ว (ประมาณ 7 เดือนย้อนหลังครับที่ผมได้เท่านี้มาตลอด)

น้องพอรู้ก็เข้าใจ เพราะไม่ได้อ่อนต่อโลกอะไรขนาดนั้น ก็บอกว่าให้ผมทำตัวดีๆ อย่าไปทำเหลวไหลอีก ผมก็ตั้งใจไว้แล้วว่ากับผู้หญิงคนนี้จะตั้งใจเก็บเงิน อย่างแฟนเก่าผม เค้าดีกับผมนะ แต่ผมทำไม่ดีกับเค้าเยอะ วันนึงเค้าจากไป ผมเสียใจนะ แต่ผมกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ ผมได้แต่ตั้งใจว่า ต่อจากนี้ไป ผู้หญิงที่ผมรัก ผมจะทำให้เค้าให้ดีที่สุด

พอมีปัญหาเรื่องความเชื่อใจเข้ามากๆ ผมเลยบอกว่า งั้นให้ผมฝากเงินไว้กับเค้ามั้ย ถ้าผมนอกใจเค้า มีปัญหาเรื่องผู้หญิง เค้าเอาเงินที่ผมประกันกับเค้าเนี่ยไปได้เลย เค้าถามว่า กล้าเหรอ ผมบอกว่าทำได้ อยากให้สบายใจ อยากให้รู้ว่าจริงใจ ไม่ใช่มาหลอกๆ แล้วหายไป ผมรู้ว่าผมชอบ ไม่ชอบอะไร รักไม่รักอะไร และเป็นคนตั้งใจจริง

เค้าก็สั่งเลขบัญชีมา แล้วก็พูดถึงเรื่องการฝากว่าจะฝากลักษณะไหน ให้เป็นแนวๆ ลงทุนก็แล้วกัน ผมก็ไม่มีปัญหา เพราะถือว่าเป็นเงินเราร่วมกัน ก็ตกลงว่าผมจะฝากเงินไว้กับเค้าเป็นเงินประกันเดือนละ 100,000 บาท อันนี้คือรู้จักกันเดือนที่สองครับ น้องก็ดูจะโอเค แต่หลังๆ น้องเครียดบ่อยเรื่องงาน เรื่องหุ้น ผมก็ไม่รู้จะว่ายังไง คือผมรับฟังได้ครับ แต่ผมก็เหมือนเดิมแหละครับ ฟังก็ อืมๆ ครับๆ อ๋อ แล้วยังไงต่อ โอ แบบนี้แย่เลยสิ แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ คือช่วงหุ้นตกหนักๆ ไม่นานมานี้ น้องบอกว่า กำไร 7 แสน เหลือ 7 หมื่น ผมฟังแล้วก็ใจเสียตาม คือถ้าถามใจผมนะครับ ถ้าผมมี 7 แสนผมจะบอกว่า นี่เอาเงินนี่ไปนะ อย่าคิดมาก ไม่อยากให้เครียด ไม่อยากให้คิดเยอะ คือการลงทุนมันก็มีความเสี่ยงกันทั้งนั้น ไม่มีใครรู้อนาคตที่แน่นอน ยังไงเสีย เราก็ยังหาได้... แต่ผมก็ได้แค่คิด เพราะผมไม่รู้จะช่วยยังไง

น้องก็ไม่คุยกับผม บอกว่าผมไม่อยากรับฟัง ทำเสียเบื่อหน่าย ผมพยายามอธิบายว่า มันไม่ใช่ ผมอยากฟัง ผมอยากอยู่ข้างๆ เค้า อยากคอยให้กำลังใจ แต่ผมก็ทำได้แค่ฟัง แต่น้องก็ยังไม่พอใจ หลังๆ มา ผมพยายามปรับ เวลาโทรคุยกัน ผมจะทำเสียงร่าเริง ชวนคุย ชวนดูหนัง ชวนไปเที่ยว กินข้าว แต่น้องกลับบอกว่า เค้าไปไม่ได้หรอก ยิ่งสถานการณ์แบบนี้ ไม่มีใจจะไปไหนทั้งนั้นละ มันเศร้า ฯลฯ ผมก็ผิดอีกละ

มาวันนึง คุยๆกันไม่กี่คำ น้องบอกว่า แค่นี้นะ เบื่อ แล้วก็วางสายไป ผมโมโห ก็เลยพิมพ์ต่อว่าไปว่า ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว คือ พยายามแล้ว แต่ทำไมไม่เห็นคุณค่า ไม่เห็นความดีบ้าง ผมก็พิมพ์ไปหลายอย่าง แนวๆ ต่อว่า และครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก เป็นครั้งที่สองที่ผมต่อว่าไป หลักๆก็คือ ผมมองว่า คุณมีความเครียด ผมเข้าใจ แต่ผมเองก็ช่วยอะไรมากไม่ได้ ผมรับฟังได้ แต่คุณเลือกที่จะไม่เล่าแล้ว คุณเลือกที่จะบอกว่าผมไม่อยากฟัง ทั้งๆที่ผมพร้อมอยู่ข้างคุณเสมอนะ แล้วมาลงกับผม ว่าน่าเบื่อ ว่าพึ่งไม่ได้ คุณจะให้ผมทำยังไง ผมทำให้ขนาดนี้ยังไม่พออีกเหรอ ต่อว่าไปหลายอย่างครับ ค่อนข้างแรง
 ตื่นเช้ามา เค้าอันเฟรนผมในเฟส บล็อกเบอร์ผม...

ผมตื่นมาก็ไม่รู้จะทำยังไง ก็เหมือนเดิม คือผมเป็นคนโกรธง่ายหายไว ต่อให้เค้าจะผิด จะถูก ผมก็ง้อเสมอ ผมไม่ค่อยโกรธใครนานๆ โดยเฉพาะคนที่ผมรัก ผมก็ทักไปพยายามพูดคุยด้วย แต่เค้าน้ำเสียงแนวใหม่ไปเลย ประชดหนัก ประชดถี่ หลายอย่าง ผมเองก็ยอมรับว่าผิด ที่ไม่เข้าใจเค้า ที่เป็นที่พึ่งให้เค้าไม่ได้ ก็พยายามแก้ปัญหา หาสาเหตุว่า มันคืออะไรกันแน่

ทุกครั้งที่ทะเลาะ มีปัญหากัน เค้ามักจะพูดถึงเรื่องงานว่างานหนัก งานเยอะ เครียด ไม่ได้สบายเหมือนผม ถ้าอยากให้สบายก็หางานอื่นให้ทำ จนมาตอนหลังๆ ล่าสุดพูดเรื่องนี้มา ผมเลยบอกว่า โอเค ได้ งั้นคุณไม่ต้องทำงาน คุณออกมานะ แล้วผมจะดูแลคุณเอง ผมจะทำงานคนเดียว คุณไม่ต้องทำ
 เค้าบอกผมว่า ถ้าให้เค้าเดือนละ 300,000 เค้าจะออกเลย ผมตอบว่า คุณ ผมหาได้เดือนละ 300,000 ผมให้คุณเดือนละ 200,000 ผมแทบไม่มีเงินเก็บเลยนะ แต่ผมจะให้เพราะผมอยากให้คุณไม่ต้องเครียด เราจะได้ไม่ต้องทะเลาะกัน เค้าถามผมสั้นๆว่า ไหนละ? ไม่เกิน 10 นาทีจากนั้น ผมโอนไป 200,000 ถ้วน เค้าตอบกลับมาว่า... "ได้รับแล้ว ขอบคุณค่ะ" จบ

คือผมรู้ว่าผมไม่ได้เป็นคนดีอะไร แต่ผมก็อยากทำดีให้คุณ พยายามแก้ไข พยายามปรับปรุง มันก็มีหลุดๆมาบ้างเรื่องปากเสีย ปากหมา ปากไม่เข้าหู แต่ก็พยายามทำดีให้เห็น ผมก็พูดไปว่าผมทำอะไรให้บ้าง ทำไมมองไม่เห็น เค้าตอบกลับมา ที่แท้ก็ทำดีเพื่อหวังผลตอบแทน แค่สามเดือน มาทวงขนาดนี้เลยเหรอ

ผมฟังแล้วไม่รู้จะพูดอะไรต่อ คือในใจผม ผมก็ยังคิดว่าผมผิดที่ไปโมโห ไปวีนใส่เค้า ไปพูดเรื่องว่าผมทำดีให้เค้า แต่ลึกๆในใจผม ผมก็ยังเชื่อนะครับว่า เวลาใครทำดีให้เรา โดยเฉพาะคนที่บอกว่าคบกันเนี่ย ไม่ว่ายังไงเราก็ควร appreciate สิ่งที่เค้าทำให้หรือเปล่า ไม่ใช่เหรอ?

จริงๆ มันมีหลายครั้งที่เค้าบอกว่าผมคิดเล็กคิดน้อยเรื่องเงิน ซึ่งนิสัยผู้ชายไม่น่าจะเป็นแบบนี้เลย ผมได้แต่เงียบ เจ็บนะ ฟังแล้วเจ็บ แต่ในขณะเดียวกันผมก็ไม่เข้าใจ คืออย่างเรื่องกินข้าว พอบอกว่าผมออกเองทุกมื้อ เค้าก็บอกว่า ไม่งั้นจะเป็นแฟนกันทำไม เป็นเพื่อนกันไม่ดีกว่าเหรอ ถ้าเป็นแฟนแล้วยังต้องจ่าย จะมีแฟนทำไม เรื่องนี้ผมไม่เถียงนะ ผมเข้าใจ และทำมาตลอดก็คือ ผู้หญิงของผม ผมดูแลได้หมด เค้าจะกิน จะเที่ยว จะอะไร ผมออกให้ได้ เพราะเรารักกันไม่ใช่หรือ? แต่ขอเถอะ อย่าพูด เรารู้ว่าเราควรทำอะไรให้คุณ อย่างมือถือใหม่ออก อย่าบอกเลยว่าอยากได้ เพราะเราซื้อให้อยู่แล้ว แต่ถ้าคุณพูดขึ้นมา เรารู้สึกไม่ดีเลยครับ อันนี้ความคิดผมนะ

กลับมาต่อ พอผมให้ไป 200,000 แล้ว เค้าแนวๆว่า จะลาออกทันทีไม่ได้หรอก เพราะมีสัญญา.. อ้าว! ผมฟังเท่านั้น ผมงง อ้าว แล้วคุณจะให้เราโอนให่คุณทำไม คุณจะบอกเราทำไมว่าถ้าให้ได้คุณจะออก ผมไม่รู้จะพูดอะไรเลยจริงๆ ตอนนั้น ก็ได้แต่แบบ ถามว่า จริงๆ ปัญหามันคืออะไรเหรอ คือคุณทะเลาะกับผมบ่อยๆ มาเจอผมไม่ได้ เพราะคุณเครียดเรื่องงานไม่ใช่เหรอ? แต่ก่อน เราอยู่ไกลกัน รถติด ไปมาหากันยาก นัดไปไหนก็ลำบาก ผมย้ายมาอยู่หน้าปากซอยบ้านคุณ ผมบอกคุณว่า ยังไงทุกวันคุณก็ต้องกลับบ้านผ่านทางนี้ ผมจะเจอคุณสัก 5 นาทีได้ไหม? คุณทำให้ไม่ได้ คุณรีบกลับ คุณบอกว่า ผมชอบตำหนิเรื่องรูปร่างคุณ เพราะงั้นคุณจะไปยิมทุกวัน ไปบ่อยๆ ให้มันผอมๆ ทั้งๆ ที่เราเคยคุยกันแล้วว่า เรื่องรูปร่างผมจะไม่ติคุณอีกเลย (และผมก็ไม่เคยติเค้าอีกเลยหลังจากคุยกันเคลียร์เป็นต้นมา แต่เค้าก็ยังเอามาเป็นประเด็นบ่อยๆ) แถมคุณยังต้องไปทำงานเครียดๆ พอเลิกก็ไปยิมกลับมาก็ง่วง อยากนอนเร็วๆ ก็เลยต้องรีบกลับ ไม่มีเวลามาเจอผม

 เล่าย้อนนิดนึง แต่ก่อน ตอนอยู่ไกลกัน ทุกครั้งที่ไปไหนมาไหน สมมติว่าผมอยู่ห้วยขวางละกัน ผมก็จะนั่งรถไปกับเค้า ไปส่งเค้า 7-11 ใกล้ๆ บ้านเค้าที่อยู่แถวอุดมสุข แล้วจากนั้นผมก็นั่งแท็กซี่ ไม่ก็ BTS กลับมาคอนโดแถวผมอยู่เอง เป็นแบบนี้ตลอด จะฝนตก จะมืดจะค่ำ ผมก็ทำให้ไม่เคยขาด
 แต่หลังๆ มา ถึงจะอยู่ใกล้กันแค่นี้ ผมก็ไม่ได้เจอเค้า เค้าบอกว่าเค้าไม่ดีเอง เค้าเคยบอกแล้วว่านิสัยเค้าไม่ดี แย่ เค้าอยากเป็นโสด ฯลฯ ผมฟังแล้วก็เงียบ ได้แต่บอกว่า ไม่เป็นไรนะ พี่ดีไม่พอ พี่จะทำให้ดีกว่านี้ ให้เป็นที่พึ่งได้ ให้เชื่อใจได้ ไว้ใจได้ และไม่ไปไหน จะอยู่ข้างๆ เสมอ... แต่ความจริง นับวัน เค้ายิ่งห่างไกลผมออกไป

 คือหลังจากนั้น ผมก็พยายามจะคุยนะ หาเวลาคุย คือผมบอกว่า เราต้องปรับความเข้าใจกัน แก้ปัญหาด้วยกัน คุณมองดูดีๆ ว่าจริงๆ แล้วปัญหาคือเรื่องเครียดจากงานจริงๆ มั้ย เราต้องแก้ให้ตรงจุด คุณบอกว่าถ้าผมจ่ายให้ได้ คุณจะออกจากงาน แต่ผมให้จริงๆ คุณไม่ออก คุณบอกติดสัญญา ผมก็แค่อยากให้คุณพูดอะไรที่คุณคิดจะทำจริงๆ ไม่ใช่พูดประชดไปเรื่อย เหมือนตอนช่วงแรกๆ เดี๋ยวไป เดี๋ยวไม่ไป เดี๋ยวจะไปกับเพื่อน เดี๋ยวจะไปคนเดียว คือตกลงเอายังไงก็ให้มันแน่นอน ผมปรับตัวไม่ทัน

ทีนี้ ยังไงก็หาเวลาคุยไม่ได้ วัน จ-ศ บอกทำงาน เครียด ไม่อยากคุย ไม่อยากโดนผมด่า พอวันเสาร์อาทิตย์ บอกต้องไปกับครอบครัว ไม่มีเวลาคุย ต้องอยู่กับพ่อแม่ คุยนิดเดียวก็ไม่ได้ ผมก็ทำยังไงได้ ก็รอ พอถึงวันจันทร์ กลับมาคุยได้แปบเดียว ผมก็อธิบายว่า คุณทำงานมาทั้งชีวิตเป็นพนักงาน คุณจะออกมาทำงานฟรีแลนซ์ หรือเป็นเจ้าของกิจการมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ นะ เราต้องปรึกษา ต้องวางแผน ผมทำฟรีแลนซ์ ทำธุรกิจตัวเองมาทั้งชีวิต ผมรู้ว่าชีวิตที่ไม่มีใครมาสั่งเราน่ะ มันเป็นยังไง ผมจะช่วยคุณ เราช่วยกัน ผมหาเงินให้คุณ คุณเอาไปต่อยอดนะ ต่อไป ต่อให้ไม่มีผม คุณก็อยู่ได้ และไม่เครียด คุณลองคิดดู งานคุณเครียด คุณจะอยู่กับมันไปจนแก่เลยเหรอ

คุยได้ไม่เท่าไหร่ ขอวางสาย จะไปอาบน้ำ พออาบเสร็จ ก็แนวๆ เดิมก็คือ ติดสาย คุยกับเพื่อน คุยเรื่องนั่นเรื่องนี่ บอกผมรอแปป ผ่านไปชั่วโมงนึง โทรกลับมา คุย 3 นาที บอกง่วงไปนอนละ วางสาย เลยไม่รู้เรื่องกันสักที มันเป็นแบบนี้หลายครั้ง มีครั้งนึงผมไม่พอใจมากๆก็คือ บอกเดี๋ยวโทรกลับ แล้วก็ไม่โทรจนถึงวันใหม่ ผมรอจนตีสี่ คืออยากเคลียร์ปัญหาให้จบ แก้มันให้ได้ มันติดตรงไหน ก็คุยกัน แต่เค้าคุยกับเพื่อนเสร็จ แล้วก็ไม่อยากคุยกับผม เลยไปนอนก่อน โดยไม่บอกผม เช้ามา บอกว่า เบื่อ ไม่อยากทะเลาะ เลยไม่คุย

ล่าสุด ผมท้องร่วง ไปไหนแทบไม่ได้ ตอนแรกว่าจะไปธุระ ตจว แต่ก็รอเอาโทรศัพท์ให้เค้า (ถ้ายังจำได้ ผมเขียนว่ามีปัญหากันเรื่องว่าซื้อโทรศัพท์) ผมไปต่อคิวอยู่ 4 ชม กว่าจะได้ รีบเอามาให้ เผื่อผมไม่อยู่เค้าจะได้ไม่ต้องรอผมกลับ แต่เค้าไม่อยากเจอ ไม่อยากเห็นหน้าผม ผมก็ไม่รู้ว่ายังไง เค้าอ้างว่างานเยอะ แต่ไม่บอกตรงๆ ว่าไม่อยากเจอ ผมก็เข้าใจว่างานเยอะ เลยเลื่อนงานผมออกไปเป็นเดือนหน้าเพื่อรอเจอ แต่สุดท้าย วันที่ผมไม่สบาย เลยไม่ได้ตอบไลน์เค้าที่ส่งมาบอกขอบคุณเรื่องซื้อของที่เค้าอยากได้อีกอย่างให้ แค่วันเดียว เค้าบล็อกช่องทางสุดท้ายในการติดต่อ นั่นก็คือไลน์
 
ผมไม่สามารถส่งหาเค้าได้อีกต่อไป โทรศัพท์ที่ซื้อให้ก็ยังอยู่นี่ พร้อมกับเงินที่ให้เค้าไป 100,000 ประกันความเชื่อใจ 200,000 เพื่อให้ออกจากงาน ก็อยู่ที่เค้า ผมงง ไม่รู้จะทำยังไง ไม่รู้จะปรึกษาใคร เค้าบอกครั้งล่าสุดก็คือ พอผมเห็นว่าเค้าไม่ออกจากงาน ผมเลยคุยไม่ดีกับเค้า ผมบอกว่า ไม่ใช่คุณ คือถ้าคุณไม่ออก คุณจะบอกทำไมว่าถ้าผมให้แล้วคุณจะออก แต่ก็คุยกันไม่จบ เค้าตัดสายไปก่อน แล้วก็ไม่ได้คุยอีกเลย

วันนี้ผมพยายามติดต่อไปทุกทาง ไม่ได้อะไร เค้าไม่ยอมคุย ผมได้แต่แบบ ผมทำไม่ดีพอใช่มั้ยครับ? คือผมพยายามแล้วนะ แก้ปัญหาให้ ถ้าปัญหาคือตัวผม คุณแค่บอกว่าผมไม่ดี คุณไม่อยากมีผม จบ คุณจะบอกทำไมว่าเป็นเพราะงาน คุณจะบอกทำไมว่าถ้าผมให้คุณได้คุณจะออก
 
ผมคิดถึงขั้นว่า โอเค ถ้าสองแสนไม่พอ งั้นผมหาได้เท่าไหร่ คุณเก็บไว้นะ เป็นเงินของเรา คุณอยากให้มีเงินเก็บเท่าไหร่ คุณก็เก็บเอา ผมจะทำงานอย่างเดียว เพราะปกติผมไม่ค่อยใช้เงินอะไร แต่ผมคงไม่มีวันได้พูดคำนั้นแล้ว ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมเราเดินมาถึงจุดนนี้ได้ จากครั้งนึงที่เรารักกัน ที่คุณบอกว่า ผมทำให้คุณเยอะแยะเลย ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่มีใครทำให้ขนาดนี้ แต่วันนี้ คุณถามผมว่า ผมทำให้เพื่อหวังผลเหรอ?

ผมอยากร้องไห้ ผมไม่รู้จะพูดยังไง ผมก็แค่ผู้ชายแย่ๆ คนนึงที่พยายามทำดีให้คนที่ผมรัก ผมไม่ใช่คนที่ดีที่สุด และวันนี้ผมทำให้คุณไม่อยากกลับมาคุยกับผมอีกเลย ผมขอโทษนะครับ ผมพยายามที่สุดแล้ว ผมไม่รู้จะทำยังไงต่อไปดี ......"

หลังจากเรื่องราวเหล่านี้ได้เผยแพร่ออกไปแล้วนั้น ก็ได้มีชาวพันทิปเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันอย่าง

ทำเอาล้มทั้งยืน เมื่อ ชายหนุ่ม เจอ หญิงสาว ผ่านบริษัทจัดหาคู่


ทำเอาล้มทั้งยืน เมื่อ ชายหนุ่ม เจอ หญิงสาว ผ่านบริษัทจัดหาคู่


ทำเอาล้มทั้งยืน เมื่อ ชายหนุ่ม เจอ หญิงสาว ผ่านบริษัทจัดหาคู่


ทำเอาล้มทั้งยืน เมื่อ ชายหนุ่ม เจอ หญิงสาว ผ่านบริษัทจัดหาคู่


ทำเอาล้มทั้งยืน เมื่อ ชายหนุ่ม เจอ หญิงสาว ผ่านบริษัทจัดหาคู่


ขอบคุณข้อมูล : สมาชิกเว็บไซต์พันทิป หมายเลข 3493100

เครดิต :

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์