โดย แพร เผยว่า "ที่เขาแถลงก็ได้ฟังอยู่นะ แต่ที่รู้สึกว่าฟังแล้วเป็นเรื่องจริง ก็คือเขายอมรับว่าเขาเป็นพ่อและเราเคยขายขนมจีบด้วยกัน แค่นั้นที่เป็นเรื่องจริง เรื่องทำร้ายลูกที่ขัดแย้งกัน แพรมีหลักฐานเป็นแชตไลน์ค่ะ ที่เขาแชตมาขอเลิกกับเรา เขาบอกว่าฉันไม่อยากทำร้ายเธอด้วยความรุนแรงแบบนี้อีกแล้ว เขายอมรับว่าเจ้าชู้เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีกับพอร์ช เขายอมรับด้วยตัวเขาเองว่าเขาไม่อยากทำร้ายเราด้วยความรุนแรง ถ้าย้อนเวลาฉันจะย้อนไปวันที่ตัดสินใจกลับมาทำงานตรงนี้อีกไหม เขาจะเลือกไม่ทำแล้วจะขายขนมจีบด้วยกันต่อไปเรื่อยๆ นี่เป็นข้อความที่คุยกันตอนที่เขาขอเลิกกับเราไปแล้วแต่เราก็ยังคุยกันอยู่"
ประเด็นที่เขาปฎิเสธว่าเขาไม่ได้ทำร้ายลูก ในส่วนนี่พี่สาวของเขาได้ติดต่อเรามาทางเฟซบุ๊ก พี่สาวกับพ่อของเขาเพิ่งทราบเรื่องว่ามีน้องพอร์ช ก็เข้ามาขอโทษแทนเขา ก็บอกว่าอาจจะไม่สามารถขอโทษแทนตัวผู้ชายได้นะ แต่ก็อยากจะขอโทษ แล้วเขาก็ได้คุยกับน้องชายเขาแล้ว เขาก็รับสารภาพกับพ่อเขา ว่าเขาทำร้ายลูกจริงๆ หลังจากนั้นเขาก็ไปว่าพี่สาวเขาว่าโพสต์อย่างนั้นทำไม พี่สาวเขาก็มาเล่าว่าน้องชายเขามาโวยวาย ว่าจะทำอะไรก็ทำเลยนะไม่เคยนับเป็นพี่อยู่แล้ว เงินสักบาทก็ไม่เคยช่วย พ่อกับปู่ย่าก็ไม่ใช่ญาติตน มีแต่อยากเห็นตนตกต่ำ นี่คือคำที่พี่สาวเขาบอกมา แล้วก็มีไลน์เขายอมรับกับพี่สาวว่า ทำร้ายลูกจริงเพราะลูกร้อง เขาบอกควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ เหมือนเขาจะเริ่มยอมรับแล้ว แต่สุดท้ายไม่รู้ว่าเขาไปคุยกับใครถึงกลายเป็น่าออกมาแถลงข่าวไม่ยอมรับ
(แม่ฟิล์มบอกว่าเพิ่งทราบเรื่องจากข่าวที่ออกมา) "แพรไม่มีหลักฐานแน่ชัด แต่คุณแม่เขาทราบตั้งแต่ที่เราท้องได้ 6 เดือน คุณแม่ก็ทราบเรื่องแล้วไม่ใช่เพิ่งมาทราบตอนนี้ เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมออกมาแถลงแบบนั้น เราก็มีหลักฐานนะว่าคุณแม่ทราบเรื่องมาก่อนหน้านั้นจริงหรือเปล่า แพรเริ่มเปิดกับทุกคนในเฟซบุ๊กตอนลูกได้ 1 ขวบ แล้วก็โพสต์ว่าเรามีลูก น้าของฟิล์มก็ทักแชตเฟซบุ๊กมาหาเราว่า จริงหรือเปล่า ใช่ลูกเธอกับหลานเขาใช่มั้ย และก็สั่งว่าอย่าลบเขาออกจากเฟซบุ๊กนะ ตัวผู้ชายพอรู้ว่าเราเปิดเผยก็ไม่ยอม ก็ไลน์มาต่อว่า ว่าเราทำให้ที่บ้านเขาทะเลาะกัน ถ้าเรื่องนี้ถึงหูยายเขา ยายจะไม่ส่งเงินให้ใช้ เขาก็ว่าเราทำอะไรไม่คิดแทนที่เขาจะอยู่บ้านได้ก็ต้องย้ายออกไปอยู่ที่อื่น แพรเลยบอกว่าเราผิดอะไรก็แค่จะบอกว่านี่คือลูกเรา ฉันไม่ได้เปิดเผยว่ามีลูกกับคุณ แต่ฉันเปิดเผยว่าฉันมีลูก คือก็ผิดที่ทำให้น้าเขารู้ ซึ่งน้าเขา ณ ตอนนั้นดีกับเรามาก ส่วนคุณแม่เขาที่บอกว่าเพิ่งทราบว่าเรามีลูก เราก็มีหลักฐานเป็นแชตจากเฟซบุ๊กเขาทักมาหาเรา เมื่อวันที่ 9 เม.ย. สืบเนื่องมาจากเราอินจากการดูละครสะท้อนสังคม จึงโพสต์เฟซบุ๊กว่า เด็กจะโตมายังไงก็แล้วแต่จุดเริ่มต้นมาจากพ่อแม่และการเลี้ยงดู จากนั่นแม่เขาก็ทักมาว่า จะพูดจะโพสต์อะไรให้มันเกรงใจบ้าง คนที่ต้องถูกสั่งสอนมากๆ ก็คือเธอ เป็นแม่คนต้องรับผิดชอยหลายอย่างจะสนใจใครทำไมว่าจะเอาลูกมั้ย ที่เขาบอกว่า เขาคิดว่าน้องพอชคือเราหลานเรา อันนี้คือประเด็นที่เขายอมรับด้วยตัวเขาเองว่า เราเป็นแม่คน นั่นแสดงว่าเขารู้แล้วว่าเรามีลูกแล้ว และเขาก็ด่าเราค่อนข้างแรง แล้วอะไรที่คุณแม่บอกว่าพอชเป็นหลาน เขารู้มาตลอดตามหลักความจริงว่าพอชคือลูกของเราคือหลานของเขา ถ้าหลักฐานเอกสารแน่ชัดเราไม่มี แต่ถ้าเป็นคำพูดตอนน้องเกิด เขาไม่ให้ลูกชายเซ็นรับรองบุตร เพราะกลัวเรื่องของเอกสารทะเบียนราษฎร์ คุณแม่จะให้สามีเขาเซ็นรับเป็นพ่อแทน แต่เราไม่ยอมด้วยความเป็นแม่ สุดท้ายเราได้ของทางผู้ชายให้เซ็นตามที่แถลงไปตอนแรก"
ที่เขาแถลงแล้วพูดว่าเขารักลูก ต้องบอกว่าจะมีช่วงนึงที่แพรขอเอกสารเพื่อจะทำพาสปอร์ตให้น้อง เราก็ไปศึกษาว่าต้องใช้เอกสารบิดามั้ย ก็ไปบอกเขาว่ามันต้องใช้นะ เขาตอบกลับมาว่าไม่รู้ไม่ต้องใช้ก็ได้มั้ง ก็บอกไปว่าพ่อเด็กตายหรือว่าพ่อเลิกกันไปแล้วก็ได้ นี่เหรอคะที่บอกว่ารักลูก ส่วนที่เขาบอกว่าอยากเจอลูกมาก แต่เหมือนเราขวางไม่ให้เจอ แพรไม่เคยเลยที่จะไม่ให้เขาเจอลูก เขารู้หมดว่าบ้านเราอยู่ไหน แล้วลูกจะอยู่ที่ไหน ชีวิตประจำวันเราไม่ได้ทำอะไรมาก ถ้าเขาคิดถึงลูกจริงๆ หรือรักลูกจริงๆ ไม่อยากที่จะมาเจอ เราไม่ใช่คุณแม่ใจยักษ์ใจมาร คุณแม่เขามีโอกาสได้เจอหลานแล้วตอนน้องเกือบ 1 ขวบ เราก็มีหลักฐานแน่นอนไม่ได้พูดลอยๆ เขาแถลงปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาหมดเลย พูดหนังคนละม้วนแต่เราขอคุยด้วยหลักฐานดีกว่า ใครๆ ก็ออกมาพูดได้ว่า เธอทำร้ายลูก ฉันไม่ได้ทำร้ายลูก ถ้าไม่มีหลักฐานตรงนี้เอาตามหลักความจริงก็ได้ คิดว่าแพรเป็นแม่ที่อยู่ดีๆ จะตีลูกตัวเองให้เขียวเล่นๆ แล้วถ่ายรูปเก็บไว้ตั้งแต่ 3 ขวบด้วยนะ จะทำไปเพื่ออะไร ถามว่าทำไมเราเพิ่งออกมาพูดตอนนี้ เรากับเขาไม่ใช่เพิ่งเลิกกัน เราผ่านการเลิกผ่านการให้อภัยมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ครั้งนี้มันไม่ใช่ประเด็นหึงหวง เราทำแบบนี้เพราะอยากจะออกมาจากชีวิตเขาแล้ว ฉันอยากจะไปมีอนาคตกับของฉันแล้ว คุณก็ไปมีอนาคตของคุณ ถ้าเราอยากจะไปดึงเขากลับไปจะมาทำแบบนี้มั้ย เราไม่อยากจะดึงเขากลับมาเลย เรามีแต่อยากให้เขาไปจากชีวิตเรา แต่เขาก็ยังมาวนเวียนอยู่ในชีวิตเราก็ไม่อยากจะอยู่กับความซ้ำๆซากๆ แล้ว ครั้งนี้แพรเรียกว่าอโหสิกรรมเลยดีกว่า แต่ถ้าเขายังยืนยันว่ารักลูกมาก ก็ให้เป็นสิทธิ์ของลูกตัดสินว่าอยากจะเจอพ่อเขามั้ย เราไม่ไปกีดกันเพราะเขาเป็นพ่อลูกกัน คงไม่มีการฟ้องร้องเกิดอะไรกัน ถ้าจะทำ คงทำไปนานแล้ว
(กลัวไหมว่าฝ่ายชายจะหอบหลักฐานออกมาโต้ตอบอีกครั้ง) "หนูก็จะสู้ไปกับลูกค่ะ ผิดว่าตามผิด อย่าสู้ด้วยคำโกหกเลยมันเหนื่อย ที่เขาก็บอกเราพูดไม่หมด ไม่ได้บอกว่าเราเป็นครูฝึกสอน แพรอาจจะไม่ได้ลงรายละเอียดว่ามันเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น แต่ถามว่าเจอกันที่โรงเรียนไหม ใช่ค่ะ ซึ่งเป็นช่วงจะจบเทอมต้น พอปิดเทอมเราถึงตัดสินใจที่จะคบกับเขา เพราะเขาก็พูดเองว่าเมื่อคุณออกไปข้างนอกก็เป็นคนธรรมดาทั่วไปแล้วนะ ไม่ได้สอนเขาหรืออยู่ในโรงเรียนเดียวกันแล้ว ตั้งแต่มีเรื่องเขาไม่เคยติดต่อเราเลย ที่ทางคุณแม่เขาบอกจะเป็นกาวใจให้นั้น อย่างที่บอกค่ะ เราไม่ใช่เซเลป เขารู้ชีวิตประจำวันและรู้ว่าบ้านเราอยู่ที่ไหน หรือถ้าเขาอยากจะเจอน้องพอร์ชมันง่ายมากเลย ง่ายกว่าที่หนูอยากจะไปเจอเขาด้วยซ้ำ"
ซึ่งถ้าเขาติดต่อมาเพื่อที่จะเคลียร์ แพรยืนยันคำเดิมค่ะ เราไม่มีอะไรต้องคุยหรือต้องเคลียร์กันแล้ว หลักฐานทั้งหมดเป็นความจริง แพร์ไม่ได้มานั่งปั้นหรือมโนอะไรขึ้นมา คำขอโทษหรือสิ่งชดใช้อะไรไม่ได้ทำให้ชีวิตแพร์ดีขึ้นหรือแย่ลง อยากให้เรื่องนี้จบแบบที่แพร์ออกมายืนยัน คือเมื่อวานที่เขาออกมาปฏิเสธโดยเขาทำให้แพร์โดนสังคมตราหน้าว่ากุเรื่อง สร้างเรื่องโกหก เพราะฉะนั้นแพร์ก็ออกมายืนยันว่าแพร์ไม่ได้โกหก แค่นั้นจบ แพร์ว่าสังคมตัดสินได้ ก็ขอให้เขาจบจริงๆ เพราะเราจบแล้ว ซึ่งเราจะจบได้ก็ต่อเมื่อเราเป็นผู้บริสุทธิ์ หนูออกมายืนยันความบริสุทธิ์ของ ที่หนูแถลงเพราะอยากให้ทุกคนรู้ความจริงเป็นยังไง ใครโกหก ใครไม่โกหก เรารู้อยู่แก่ใจ แต่คนภายนอกเขาไม่ได้อยู่ใต้เตียงเราเขาไม่รู้หรอก ถ้าเขาออกมาอีกก็อยู่ที่ว่าเขาจะออกมาในรูปแบบไหน ถ้าเขาจะออกมาพูดแล้วกระทบถึงเราอีก เราก็ต้องออกมาต่อสู้ค่ะ อยากให้เป็นเคสสุดท้ายจริงๆ คือไม่รู้ว่ามันจะมีบ่วงกรรมแบบนี้เกิดขึ้นอีกไหม ขอให้แพร์ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่เถอะ แพร์ออกมาแล้วไม่ขอเดินกลับไปอีก
(ต่อข้อถามว่า ยังมีความรู้สึกรักหรือมีเยื่อใยหลงเหลืออยู่กับผู้ชายคนนี้อีกไหม) แพร เผยว่า มันรักไม่ลงค่ะ มันไม่เหลือแล้ว พยายามจะให้ความเป็นพ่อของลูกนะ แต่มันก็อยู่ที่ตัวเขาว่าพยายามจะทำตัวเป็นพ่อของลูกหรือเปล่า ปากเขาบอกว่ารักลูก คิดถึงลูก อยากเจอลูก แต่มันก็ยังเป็นแบบเดิม ไม่มีประโยชน์อะไร แพร์ขอเอาความผิดพลาดครั้งนี้เป็นบทเรียนราคาแพงที่สุดของชีวิตแพร์เลยดีกว่า แพร์ว่าในสังคมเรื่องแบบนี้มันต้องเกิดขึ้นอีกแน่นอน จะเกิดกับใครก็ไม่รู้ จะเป็นข่าวหรือไม่เป็นข่าวเท่านั้นเอง อยากบอกแค่ว่าจะทำอะไรก็แล้วแต่ให้ใช้สติมากกว่าอารมณ์ ถ้าเราเห็นว่าความถูกใจ พอใจ มาก่อนความถูกต้องเหมาะสม เมื่อนั้นชีวิตก็พัง แต่แพร์ไม่ได้ท้อกับชีวิตถึงกับต้องคิดสั้น แพร์คิดเสมอว่าวันนี้ไม่ใช่วันที่แย่ที่สุดหรอก มันต้องมีวันที่แย่กว่านี้อีก และต้องมีวันที่ดีกว่านี้อีกแน่นอน
"ถามว่าคิดไหม การที่เราออกมาพูดจะทำให้เขาอยู่ในวงการบันเทิงต่อไปไม่ได้แล้ว คือมันก็ไม่ใช่ตัวแพร์ทำนะ มันก็เป็นตัวเขาทำ ถ้าเขาเป็นคนดีก็ไม่มีใครออกมาแฉเขาได้ถูกไหมเห็นว่าเขาเครียดถึงขั้นอยากฆ่าตัวตาย อยากฝากบอกเขาว่าปัญาหาที่เขาเจอตอนนี้ไม่เท่าที่แพรเจอมาตลอดนะ สิ่งที่แพรเจอมาตลอดมันหนักหนากว่าที่เขาเจออีก ถ้าเขาคิดได้แค่ว่าเขาไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว มันก็ไม่มีใครช่วยเขาได้แล้ว เป็นมนุษย์แม่มันเหนื่อยมาก แต่เหนื่อยแค่ไหนพอเห็นหน้าลูก ความเหนื่อยมันหายไปหมดเลย ถ้าเขารักลูกเหมือนที่เขาพูดนะ เขาจะอยากมีกำลังใจ อยากมีชีวิตอยู่ต่อโดยที่ไม่ต้องมีใครมาช่วยดึงเขาขึ้นมาหรอกค่ะ"
กระทู้ร้อนแรงที่สุดของวันนี้
กระทู้ล่าสุด
รูปเด่นน่าดูที่สุดของวันนี้
