
ล่าสุด เพจดังอย่าง Drama-addict ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นถึงกรณีดังกล่าว ระบุว่า
ไอ้เรื่องดราม่าห้ามนั่งหลังกะบะ ห้ามนั่งแคปนี่ มันมีประเด็นซ้อนทับกันหลายอัน ต้องค่อยๆแยกประเด็น
อย่างแรก ถ้าว่ากันตามหลักความปลอดภัย มันก็อันตรายจริงนั่นแหละ และตามกฏหมายมันมีระบุไว้ค่อนข้างชัดเจนนานมากละ เกือบสามสิบปีได้
ปัญหาคือ มันไม่มีการบังคับใช้จริงจังไง ตำรวจก็กวดขันมั่งไม่กวดขันมั่ง ประชาชนก็ม่ายรู้วววว ว่ามันผิดกฏหมาย
ก็ทำตามๆกันไป จนกลายเป็นวิถีประชาที่เราทำกันมาร่วมสามสิบปีแล้ว อันนี้สมัยเด็กๆจ่าก็ทำบ่อยนะ นั่งหลังกะบะ กับนั่งแคปเนี่ย แต่ถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาก็อันตรายน่าดู
ดังนั้นถ้าเอาตามมาตรฐานจริงๆ ก็ควรกวดขันกันให้ชัดเจน อันนี้เป็นประโยชน์กับประชาชนเอง
แต่ปัญหาคือ อย่างที่บอกว่าคนไทยทำแบบนั้นกันมานานมากแล้ว
จู่ๆจะให้หักดิบ ห้ามทำเลย ก็อย่างที่เห็นครับ กระแสตีกลับกันโครมๆ มันต้องค่อยเป็นค่อยไป นี่เป็นเรื่องของมวลชน เรื่องของการบริหารบ้านเมือง ไม่ใช่การดูแลกองร้อยที่สั่งให้ลูกน้องซ้ายหัวขวาหันแล้วก็ทำตามคำสั่งหมดโดยไม่อิดออดหรือกังขาในคำสั่งนั้น
ถ้าจะบังคับใช้กันควรค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆให้ความรู้กันว่าทำไมการนั่งกะบะหลังจึงไม่ควร มันอันตรายยังไง เวลาเกิดอุบัติเหตุจะเป็นยังไง กำหนดเส้นตายว่าเด๋วเราจะเริ่มกวดขันจริงๆในกี่เดือนกี่ปีก็ว่ากันไป แล้วระหว่างนั้นก็ให้ประชาชนค่อยๆปรับตัว
หรือในกรณีที่มีประชาชนนั่งกะบะหลังไม่ได้ แล้วจะเดินทางกลับ ตจว ยังไงช่วงหยุดยาว อันนี้จะมากำปั้นทุบดินว่า นั่งกะบะไม่ได้ ก็นั่งรถตู้ นั่งรถทัวร์ นั่งรถไฟกลับบ้านเด่ะ
ไอ้คนพูดนี่มึงมาต่อคิวซื้อตั๋วรถไฟเหมือนชาวบ้านก่อนตะแล้วค่อยพูดแบบนั้น
มึงต้องจัดสรรและบริหารขนส่งมวลชนให้พอเพียงกับประชาชนด้วย ไม่ใช่พอถึงเวลาก็ให้คนไปขี่คอซ้อนทับกันบนรถไฟ อนาถตายห่า
สรุป ไอ้เรื่องนโยบายห้ามนั่งกะบะห้ามนั่งแคบไรนี่
มันก็เป็นบททดสอบของรัฐบาลอันนึงนั่นล่ะครับ ว่ามีกึ๋นแค่ไหน ที่จะสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจ ซึ่งจากกระแสตอบรับที่ผ่านมาก็ได้พิสูจน์แล้วว่า แม่งไม่ม....อ๊อก ฟหหกสหกฟกมดสหกนาเมกหดเสหกดมสเกดมสวอิกดมสวเมสกดดเเด
Love Attack เทศกาลความรักแบบนี้ บอกอ้อมๆให้เขารู้กัน
Chocolate Dreams สาวชั่งฝันและช็อคโกแลต กับหนุ่มหล่อ ไม่แน่คุณอาจจะได้เจอแบบนี้ก็ได้
Love You Like Crazy เพลงเพราะๆ ที่ถ้าส่งให้คนที่เรารัก โลกนี้ก็สีชมพูกันทีเดียว