กลายเป็นกระแสฮิตแชร์ให้ว่อนอยู่ในโลกออนไลน์ สำหรับหนุ่มร่างใหญ่ ที่ลดน้ำหนักจาก 110 กิโลกรัม เหลือ 72 กิลโลกรัม ภายใน6 เดือน !! ซึ่งเจ้าตัวก็ใจดีเผยวิธีลดน้ำหนักให้ฟังว่า ..
ตกใจเวอร์!! จากโอ่งมังกรกลายเป็นโอป้าเกาหลี! ทำได้ไง?
1. การควบคุมอาหาร
แคลอรี่ คือ หน่วยวัดปริมาณความร้อนที่ร่างกายต้องการเผาพลาญ ซึ่งอาหารทุกชนิดที่เรารับประทานกัน ล้วนมีค่า แคลอรี่ของมันเองอยู่ อยากให้คนที่กำลังลดน้ำหนักเข้าใจถึงร่างกายตัวเองน่ะครับ ว่าร่างกายของตัวเองนั้น เผาพลาญต่อวันนึงประมาณกี่แคลอรี่
ผู้ชายที่ น้ำหนัก ระหว่าง 70-80 กก. มีการเผาพลาญอยู่ที่ 1800-2200 แคลอรี่ โดยประมาณ
ผู้หญิงที่ น้ำหนัก ระหว่าง 40-60 กก. มีการเผาพลาญอยู่ที่ 1500-1800 แคลอรี่ โดยประมาณ
ถ้าใครที่ น้ำหนักเยอะเกิน 100 กก. อัตราการเผาพลาญก็จะสูงกว่า คนทั่วๆไป จะอยู่ที่ประมาณ 2200-2800 แคลอรี่ เลยทีเดียวและ การที่จะสลายไขมันในร่างกายได้ 1 กิโลกรัม ต้องเผาพลาญทั้งหมด 7700 แคลอรี่ นั้นเองครับ ดังข้อมูลตามภาพเลยครับพอเราทราบแล้วว่า ร่างกายของตัวเราเองนั้น เผาพลาญแคลอรี่อยู่ที่เท่าไหร่ ให้จำไว้ขึ้นใจเลยน่ะครับว่า เราห้ามทานอาหารที่มากกว่าที่ร่างกายต้องการ สมมุติ เป็นตัวผมตอนที่ผมยังอ้วนอยู่ นน อยู่ที่ 100 กก. แสดงว่าร่างกายใน 1 วันเนี้ย ตัวผมเผาพลาญอยู่ที่ 2500 แคลอรี่ ดังนั้นผมต้องทำอย่างไรก็ได้ที่ห้ามรับประทานอาหารเกิน 2500 แคลอรี่ เพื่อที่จะให้ น้ำหนักของผมลดลงนั้นเอง
แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรล่ะ ว่าอาหารที่เรารับประทานไปแต่ล่ะมื้อๆเนี้ย มันกี่แคลอรี่ นั้นคือเราต้องทำการค้นหาครับ ว่าอาหารที่เราทานเนี้ย แคลอรี่เท่าไหร่ ซึ่งตัวช่วยในการหา แคลอรี่ หลักๆที่ผมใช้เลยคือ Google และ fatnever.com ครับ ยังมีอีกมากมายน่ะครับที่เป็นตัวช่วยในการหาแคลอรี่ มีทั้ง application ในมือถือที่มีให้ download มากมายหลายรุ่นมาก และมีหลายเว็บไซต์เลยครับที่ บอกถึงปริมาณแคลอรี่ในอาหารครับ ผมยกตัวอย่างเป็นเว็บไซต์นี้น่ะครับ
ผมยกตัวอย่าง อาหารใน 1 วันที่รารับประทานกันแบบชิลๆ โดยไม่คำนึงถึงแคลอรี่ให้ดูน่ะครับ
- มื้อเช้า ข้าวมันไก่ 1 ห่อ (600kcal) + กาแฟเย็นซักแก้ว (250kcal)
- มื้อกลางวัน ข้าวกระเพราหมู+ไข่ดาว (600kcal) + ขนมทานเล่นนิดหน่อย (100-200kcal)
- มื้อเย็น ราดหน้า (400kcal) + โค้กขวด (150kcal)
ดังนั้น ทั้งหมดใน 1 วัน ผมรับประทานไปทั้งสิ้น 600+250+600+200+400+150 = 2200 แคลอรี่ ซึ่งมีค่าที่ต่ำกว่าเป้าที่เราตั้งไว้ที่ 2500 แคลอรี่ นั้นแสดงว่า วันนั้นเรามีการเผาพลาญไขมันไปแล้ว 2500-2200 = 300 แคลอรี่นั้นเองครับ และถ้าเราทานแบบนี้ต่อเนื่องกัน ประมาณ 1 เดือน นั้นคือเราเผาพลาญทั้งหมด 300*30 = 9000 แคลอรี่ หรือ เราลดน้ำหนักได้ ประมาณ 1 กก. นิดๆนั้นเองครับ
แล้วเรามาลอง คำนวณแบบ อาหารคลีนกันดูน่ะครับ
- มื้อเช้า โจ๊คหมู (150kcal) + น้ำเปล่า (0kcal)
- มื้อกลางวัน ข้าวเปล่า 1 ถ้วย (200kcal) + แกงจืดหมูสับ (150-200kcal)
- มื้อเย็น โยเกริต์ Low fat (100kcal) + ผลไม้แตงโม (150kcal)
แสดงว่าทั้งวันเรารับประทานทั้งหมด 150+0+200+150+100+150 = 750 แคลอรี่ เท่านั้นเองครับ โดยที่ร่างกายเรายังเผาพลาญถึง 2500 แคลอรี่ กินเข้าไปแค่ 750 แคลอรี่ แสดงว่า วันนั้นร่างกายเราเผาพลาญไขมันไปถึง 2500-750 = 1750 แคลอรี่ เลยทีเดียวครับ และถ้าเรารับประทานแบบนี้ 1 เดือน 1750*30 = 52500 แคลอรี่ หรือ เราลดน้ำหนักได้ ถึง 6.8 กิโลกรัม เลยทีเดียวครับ
ตารางแคลอรี่ ที่ถ้าคุณเดินเข้า 7-11 หรือ Supermarket ต่างๆ อาหารในร้านค้าเหล่านี้ 70-80% จะมี ตารางแคลอรี่ ให้คุณได้ดูครับ ฝึกให้เป็นนิสัยน่ะครับ ก่อนที่เราจะหยิบซื้อไรกลับบ้านมาตุนไว้ หรือจะซื้ออะไรไปรับประทานระหว่างวัน ให้ดูตัวเลขเหล่านี้ก่อนที่จะทานมันครับ
คราวนี้รู้แล้วใช่มั๊ยครับ ว่าเราควรรับประทานอาหารแบบไหน ที่จะทำให้เรา น้ำหนักลดลง แรกๆในการฝึกคำนวณแคลอรี่ จะค่อนข้างลำบากน่ะครับ แต่อยากให้ทุกคนพยายามทำ จนเกิดความเคยชินครับ ทุกวันนี้ก่อนที่ผมจะทานอะไร ผมต้องเปิดดูก่อนว่า อาหารที่ทานเนี้ยมันมีแคลอรี่เท่าไหร่ พอฝึกไปได้ซักระยะนึง 3-6 เดือน คุณก็จะมีตัวเลขแคลอรี่ อยู่ในหัวแถบจะทุกชนิดของอาหารแล้วครับ เดียวนี้เวลาผมรับประทานอาหาร แค่มองอาหารก็รู้แล้วครับว่า แต่ล่ะมื้อเนี้ย ผมทานไปกี่แคลอรี่ ซึ่งถ้าคุณทำได้ การที่คุณจะกลับมาอ้วนอีกครั้งนั้น เป็นเรื่องที่ยากมากครับ เพราะคุณเข้าใจแล้วว่า แต่ล่ะมื้อที่ทานไปมี แคลอรี่ เท่าไหร่ เท่านี้คุณก็สามารถควบคุมตัวเองได้แล้วครับ
จากการศึกษา แคลอรี่ ในอาหารต่างๆแล้ว ผมจึงทราบว่า ศัตรูที่ทำให้อาหารนั้นมีแคลอรี่สูงนั้นคือ "ไขมัน" ครับ จะเห็นว่าของทอด ของผัด ต่างๆนั้นจะค่อนข้างมีแคลอรี่สูงกว่าอาหารทั่วๆไปเลยทีเดียว หรือก็คือถ้าเป็นอาหารที่ผ่านกระบวนการใช้น้ำมันแล้วล้วนมี kcal เกิน 400kcal ทั้งนั้นครับ เพราะในไขมัน 1g นั้นมีแคลอรี่สูงถึง 9 แคลอรี่ ต่างจาก คาร์โบไฮเดรต กับ โปรตีน ที่มีแคลอรี่ที่ 1g = 4 แคลอรี่ เท่านั้นเองครับ การที่เราจะลดน้ำหนักให้สำเร็จลุล่วงไปได้สวยงามเลยนั้นคือ การงดของทอด ของผัด ครับ หรืองดไขมันนั้นเองครับ จึงเป็นที่มาของอาหารคลีนนั้นเองครับ อาหารคลีน คือ อาหารที่ปราศจากน้ำมันครับ และนี้คืออาหารที่ผมรับประทานประจำในทุกๆวัน ทุกๆมื้อครับ
จะเป็นอาหารที่ไม่มีไขมันผสมอยู่ในอาหารเลย จะเป็นเนื้ออกไก่ ซะส่วนใหญ่เพราะมีไขมันต่ำ บางครั้งก็เป็น ทูน่ากระป๋องในน้ำแร่ หรือเนื้อหมูไม่ติดมันก็ทานได้ครับ กินควบคู่กับ ข้าวไรซ์เบอรี่ + ผักต้มต่างๆ แค่นี้ในแต่ล่ะมื้อก็อยู่ท้องใช้ชีวิตในแต่ล่ะวันสบายๆครับ โดยที่ผมรับประทานอยู่ มื้อนึง แคลอรี่ต่อมื้ออยู่ที่ 300-500 แคลอรี่ เท่านั้นเองครับ และตัวช่วยในการทำอาหารของผมเลยก็คือ เจ้ากระทะตัวนี้ครับ (ไม่ได้โฆษณาน่ะครับ)
*** ขอเสริมเรื่องไขมันนิดนึงครับ จริงๆในร่างกายมนุษย์ทุกคนต้องการสารอาหารหลักๆเลย คือ การรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ มีอะไรบ้าง 1.ไขมัน 2.คาร์โบไฮเดรค 3.โปรตีน 4.เกลือแร่ 5.วิตามิน นั้นเองครับ โดยหากร่างกายขาด ไขมัน ไปเลยร่างกายจะจดจำว่า ร่างกายเริ่มขาดไขมันแล้วน่ะ ต้องกักเก็บไขมันมากยิ่งขึ้นกลายเป็น น้ำหนักที่ลดไม่ใช่ไขมันแต่เป็นกล้ามเนื้อแทน ดังนั้นผมก็อยากจะแนะนำให้หา อาหารประเภทที่เป็นไขมันดี ไว้รับประทานด้วยน่ะครับ เช่น ถั่วอัลม่อน อโวคาโด เป็นต้นครับ
2.การออกกำลังกาย
ในส่วนลู่วิ่งช่วงที่ผม น้ำหนัก 110 กก. ผมไม่สามารถวิ่งที่ความเร็วเกินกว่า 7 กม/ชม ได้เพราะปวดข้อเข่ามากๆครับ ช่วงแรกผมจึงทำได้แค่ เดินไวเท่านั้นครับ เพื่อที่จะให้ร่างกายเคยชินกับการกลับมาออกกำลังกาย ให้หัวใจได้สูบฉีดมากยิ่งขึ้นเท่านี้ก็พอครับ ผมเดินไวในช่วงนั้น ใช้เวลาเดิน วันล่ะ 30-60 นาที เท่านั้นเองครับ มีอัตราการเผาพลาญ ประมาณ 200-400 แคลอรี่ สิ่งสำคัญในการออกกำลังกายคือ ขอความสม่ำเสมอก็พอครับ ประมาณ 4-5 ครั้งใน 1 สัปดาห์ ถึงจะเป็นการออกกำลังกายที่เบา แต่สม่ำเสมอร่างกายก็ได้เผาพลาญไขมันอย่างต่อเนื่องแล้วครับ ไม่ควรแบบ วิ่งวันล่ะ 2-3 ชม. ไปเลย แต่ทำแค่ 1วันใน 1 สัปดาห์ แบบนี้ค่อนข้างไม่เห็นผลครับ ช่วงแรกที่ผมวิ่งก็มีสภาพตามนี้เลยครับ
การออกกำลังกายไม่จำเป็นจะต้อง วิ่ง อย่างเดียวก็ได้น่ะครับ เพราะมีหลากหลายกิจกรรมที่สามารถออกกำลังกายได้ เพราะการออกำลังกาย ภายใน 1 ชม นั้น จะเผาพลาญ ประมาณ 200-800 แคลอรี่ครับ ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของการออกกำลังกายครับ ตามภาพนี้ครับ โดยการออกกำลังกายเหล่านี้เค้าเรียกกันว่า คาร์ดิโอ นั้นเองครับ คือการออกกำลังกายที่ใช้ร่างกายทุกส่วนให้เกิดการเผาพลาญแคลอรี่นั้นเองครับ
ต่อมาในส่วนของ เวทเทรนนิ่ง ผมก็ตั้งใจเล่นแบบให้พอมีกล้ามอก กล้ามแขน หน้าท้องพอใส่เสื้อให้ดูสวยงามพอครับ ไม่ได้กะเล่นจริงจังเป็นนักเพาะกาย ขนาดนั้นน่ะครับ ผมจึงเลือกซื้อ เวท ดัมเบลที่ น้ำหนัก 6, 8, 10, 12.5 กก. ทั้งหมด 4 ชุด + ม้านั่งยกเวท ตัวนึงเท่านั้นเองครับ
วันจันทร์ เล่นแขน+ไหล่ วันอังคาร เล่นอก+หน้าท้อง พักวันพุธ วันพฤ ก็กลับมาเล่น แขน+ไหล่ต่อ วันศุกร์ เล่น อก+หน้าท้อง เพื่อให้ครบส่วนน่ะครับ
การเล่นเวทเทรนนิ่ง จริงๆแล้วถือเป็นหัวข้อที่ใหญ่มากๆที่ต้องศึกษาเยอะมากพอๆกับ การควบคุมอาหารเลยครับ เพราะยังมีส่วนของเรื่องอาหารต่างๆที่ต้องควบคุมอย่างจริงจัง ค่าโปรตีน การกินอาหารเสริมเวย์โปรตีนที่จะช่วยในการสร้างกล้ามเนื้อ ท่าเล่นที่มีเยอะมากมายในการฝึก และกล้ามเนื้อแต่ล่ะส่วนต้องเล่นท่าไหนๆ ผมจึงขอพูดเรื่องออกกำลังกายไว้เพียงเท่านี้น่ะครับ เดียวจะกลายเป็นอีกประเด็นไป
3.การพักผ่อน
ที่มา - pantip