เมื่อไม่นานมานี้เว็บไซต์ต่างประเทศได้นำเสนอเรื่องราวของชาวเน็ตท่านหนึ่ง โดยเรื่องราวมีอยู่ว่า.. บ่ายวันหนึ่งในฤดูร้อน อากาศร้อนอบอ้าว มีผู้คนเดินช็อปปิ้งอยู่ริมถนนไม่กี่คน
ยายเก็บของเก่าขาย วันนึงเก็บกำไลทองได้ ยืนรอเจ้าของ 2 วัน เมื่อเจอหน้าเจ้าของ กลับทำเอาอึ้ง!!?
เวลาแบบนี้คนส่วนใหญ่มักจะหลบไปซ่อนตัวอยู่ในอาคารเพื่อตากแอร์ กินไอศกรีม กินบิงซู แต่ที่ข้างถังขยะใบหนึ่งตรงมุมถนน หญิงชราวัยประมาณ 70 ปีคนหนึ่ง กลับกำลังใช้มือพลิกควานหาขวดพลาสติกไม่หยุดโดยมีแมลงวันตอมอยู่รอบๆตัว
หญิงชราคนนี้มีชื่อว่ายายช่าย ปีนี้อายุ 68 ปี เมื่อก่อนแกใช้ชีวิตเป็นเกษตรกรมาโดยตลอด ต่อมาลูกชายมาซื้อบ้านสร้างครอบครัวในเมือง ก็เลยรับแกมาอยู่ด้วย ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่แกต้องเริ่มไปปรากฏตัวอยู่ข้างๆถังขยะ แกไม่เคยเล่าให้ใครฟังว่าทำไมแกต้องมาทำแบบนี้
ลูกชายของยายช่ายก็ทำงานอยู่ในเมืองนี้เช่นกัน ทุกวันตอนค่ำๆแกจะแอบมายืนอยู่แถวหน้าบ้านลูกชายเงียบๆประมาณชั่วโมงนึง ที่ทำให้แกปวดใจก็คือ บ้านของลูกชายแก อยู่ข้างหน้าแก แต่แกไม่กล้าเข้าไป เวลาผ่านไป ผู้คนที่ทำงานประเภทเดียวกันก็ถามแกว่า : "ทำไมไม่กลับไปบ้าน" ทุกครั้งยายช่ายก็จะตอบว่า : "ฉันทำผิดต่อพวกเขา ไม่มีหน้าจะไปพบพวกเขา ที่นั่นไม่ใช่บ้านฉัน"
ฟ้าสาง หญิงชราก็ยังไม่ไปไหน แกเดินไปรอบๆพลางคิด : "ทำของแพงขนาดนี้หาย เจ้าของต้องกำลังร้อนใจอยู่แน่ๆ" วันนั้นแกเลยไม่ได้ไปเก็บขวด แต่รอเจ้าของสร้อยอยู่ตรงนั้น วันต่อมา หญิงชราก็ยังคงเดินวนเวียนอยู่แถวใต้สะพาน แกเห็นหญิงวัยกลางคนๆหนึ่งกำลังทำท่าเหมือนมองหาอะไรบางอย่างอยู่อีกด้านของสะพาน ในใจแกก็เลยคิดว่าเธออาจจะเป็นเจ้าของกำไลที่หาย
ก่อนหน้านี้ยายช่ายอยู่บ้านลูกชายก็มีความสุขดี ความสัมพันธ์กับลูกสะใภ้ก็ไม่เลว ลูกสะใภ้ชอบเลี้ยงสัตว์ ก็เลยซื้อหมามาเลี้ยงตัวนึง แต่ตอนเด็กๆยายช่ายเคยโดนหมากัด ก็เลยค่อนข้างกลัว พอเห็นลูกสะใภ้จูงสุนัขตัวนึงกลับบ้านมา ก็พยายามจะระงับความกลัว เพราะลูกสะใภ้ชอบ แล้วก็พยายามจะช่วยลูกสะใภ้เลี้ยงสุนัข
ยายช่ายพูดจบก็ล้วงเอากำไลข้อมือออกมาให้ลูกสะใภ้พลางว่า : "อันนี้ของหนูรึเปล่า เก็บดีๆ อย่าทำหายอีกนะ" พอลูกสะใภ้รู้เหตุผลที่แม่สามีต้องมาเก็บขยะขาย ก็น้ำตาไหลพราก แล้วว่า : "ขอโทษค่ะแม่ ที่เจ้าตูบหายเป็นความผิดของหนูเอง ตอนนั้นหนูเอาแต่อารมณ์ก็เลยเข้าใจผิดแม่ไป ภาพในกล้องวงจรปิดก็บอกว่ามันแอบวิ่งออกมาเอง ถ้าแม่ไม่ชอบหมา หนูไม่เลี้ยงอีกแล้ว"
ที่มา : kchiwit.com