‘ตอนเป็นไข้เลือดออก
ผมนึกถึงคุณปอ
นึกถึงด้วยความกลัว
กลัวว่าจะเป็นแบบเขาหรือเปล่า
นึกถึงด้วยความสงสัย
ทำไมไข้เลือดออกถึงได้มาอานุภาพร้ายแรงขนาดนั้น
และนึกถึงด้วยความสงสาร
ขนาดผมเป็นไข้เลือดออกแบบไม่รุนแรง
หมอพบเชื้อตั้งแต่แรก
ได้รับการดูแลอย่างดี ไม่มีอะไรแทรกซ้อน
แต่ตอนนั้น
หมอไม่ให้แปรงฟัน ไม่ให้สระผม
เบื่ออาหาร ไม่อยากทาน เห็นอาหารที่คนเอามาฝากเหมือนขยะ
ผมก็รู้สึกว่า ชีวิตแย่จังเลย
เดินเหินไม่สะดวก
ต้องโดนตรวจเลือดหลายครั้งต่อวัน
ห้อยน้ำเกลือตลอดเวลา
ติดต่อกันเจ็ดวัน
ผมนึกสงสารคนป่วยคนอื่นๆ
โดยเฉพาะคนที่ต้องป่วยเรื้อรังอยู่โรงพยาบาล
บางครั้ง คนให้กำลังใจ
บอกว่าให้สู้ต่อไป
อดทนไว้นะ
อย่าท้อ สู้ สู้
แต่ คนที่ให้กำลังใจจะรู้ไหมว่า
คนป่วยนั้น ทุกข์ทรมานปานใด
ยิ่งคนที่คอยดูแล
ญาติสนิท มิตรสหาย
อาการป่วยเรื้อรัง
ส่งผลกระทบต่อคนรายรอบ
ยังกระเทือนไปยังโลกด้านในของผู้ป่วย
และผู้เยียวยา
พอผมหายจากอาการป่วย
ก็นึกถึงปอ
ว่าเรานอนรพ.สัปดาห์นึง
มานอนที่บ้านอีกเป็นสัปดาห์
กว่าจะมีเรี่ยวแรง
ฟื้นคืนมา
ต้องค่อยๆรวบรวมพลัง
ใจอยากไปเยี่ยมปอ
แต่ก็รู้ดีว่า
การนอนป่วยนั้น
เวลามีคนมาเยี่ยม
บางทีได้กำลังใจ
แต่ก็เสียพลังงานในการต้อนรับ
ผมกับปอไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว
จึงได้แต่ติดตามข่าว
ซึ่งก็รับทราบทั้งทรงและทรุด
และสุดท้าย
ปอก็จากไป
ผมขอแสดงความเสียใจ
ต่อญาติและเพื่อนพ้อง มิตรสหาย
และขอให้คิดว่าการจากไปของปอ
เป็นหนทางที่ดีของเขา
เขาจะได้เดินทางไปยังที่ซึ่งโปร่งเบา
หวังว่าปอคงจะปลอดโปร่ง
ไม่ลำบากเหมือนนอนอยู่ที่โรงพยาบาล
ส่วนคนที่อยู่ข้างหลัง
หากวันนี้ ท่านทานอาหารได้
แปรงฟัน อาบน้ำ สระผมได้
อย่าได้วิตกกังวลหรือพร่ำบ่น
ต่อชีวิตและทรัพย์สินให้เหนื่อยหนัก
แบ่งปันความรัก และเจือจานต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
ว่างๆก็เดินออกกำลัง
เดินเล่น เดินชมสวน สูดอากาศ
อย่าลืมว่า
ชีวิตที่ได้เดินได้ หายใจสะดวกนั้น
นับว่างดงามและมีปาฎิหารย์เพียงพอแล้ว'