เฟซบุ๊ก Royal Thai Embassy, Seoul ของเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ได้โพสต์ภาพระบุว่า ช่วงเช้าของวันที่ 7 เมษายน 2560 คณะแพทย์จากโรงพยาบาลเวชธานีที่จะดำเนินการเคลื่อนย้าย
น.ส. ระภีภรณ์ นาสะอ้าน ("น้องมิน") กลับไปรักษาต่อที่ประเทศไทย ได้เดินทางทางมาพบเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล โดยได้ขอบคุณสถานเอกอัครราชทูตฯ ที่อำนวยความสะดวกในการเข้าเมืองและการเดินทางภายในกรุงโซล ซึ่งในการหารือ เอกอัครราชทูตฯ ย้ำว่า สถานเอกอัครราชทูตทุกแห่งทั่วโลกมีหน้าที่ให้ความช่วยเหลือคนไทยตกทุกข์ได้ยากทุกคนอย่างเต็มที่ และเห็นควรให้กรณีของ
"น้องมิน" เป็นกรณีตัวอย่างเพื่อสนับสนุนให้คนไทยทำประกันการเดินทาง เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากภัยรอบตัว ทั้งสองฝ่ายยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า คนไทยอาจยังมีความรู้รอบตัวเกี่ยวกับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นน้อย เช่น การ CPR ซึ่งมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะในกรณีของ "น้องมิน" เนื่องจากได้รับการช่วยเหลือปฐมพยาบาลโดยชาวเกาหลีในที่เกิดเหตุ ทำให้สามารถช่วยชีวิต "น้องมิน" ได้ทันเวลา
จึงประสงค์ให้คนไทยมีความตื่นตัวในเรื่องดังกล่าวมากขึ้น ทั้งนี้ คณะแพทย์จะเคลื่อนย้าย "น้องมิน" กลับประเทศไทยในวันนี้ 8 เม.ย.
ล่าสุด 8 เม.ย ทีมแพทย์ รพ.เวชธานี พาน้องมินกลับถึงไทยแล้ว เร่งนำตัวส่งรักษาต่อที่ราชวิถี โดย ไทยรัฐทีวี สื่อชื่อดัง ได้เกาะติดสถานการณ์นี้อยู่
นายธีระพงษ์ นาสอ้าน พ่อน้องมิน กล่าวว่า รู้สึกโล่งใจหลังรับทราบอาการล่าสุดของลูก ดีใจที่น้องมินได้กลับมารักษาตัวต่อที่ประเทศไทย ขอขอบคุณทีมแพทย์เวชธานี V Flight และการบินไทย ที่ให้ความช่วยเหลือ
นพ.เทิดศักดิ์ เชิดชู อายุรแพทย์โรคหัวใจและหลอดเลือด รพ.เวชธานี หนึ่งในทีมแพทย์ที่กล่าวว่า การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยกลับประเทศเรียบร้อยดี ระหว่างการเดินทางมีการให้ยาผู้ป่วยในทุก ๆ 30 นาที โดยเดินทางกลับถึงประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อเวลา 13.15 น. และส่งมอบผู้ป่วยถึงมือทีมแพทย์โรงพยาบาลราชวิถีอย่างปลอดภัยแล้ว
ส่วนค่ารักษาพยาบาลทางสถานทูตไทยประจำประเทศเกาหลีใต้เป็นผู้ดูแล ขณะที่การบินไทยก็ดูแลเรื่องค่าเครื่องบิน ส่วน ร.พ.เวชธานีก็รักษาน้องมินโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด
ด้านชาวเน็ตต่างออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับกรณีนี้ ส่วนใหญ่ยังคงสงสัยทำไม น้องมิน ถึงเป็นที่สนใจของสังคมไทย บางส่วนก็ให้กำลังใจครอบครัวน้องมิน และผู้ป่วยอีกด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม ข่าวที่ออกมาอาจทำให้หลายคนไม่พอใจ แต่สำหรับกรณีนี้ถือเป็นกรณีตัวอย่างเพื่อสนับสนุนให้คนไทยทำประกันการเดินทาง เพื่อป้องกันปัญหาที่จะตามมาแบบไม่คาดคิด