ส่วนที่ลูกเลิกเรียนตั้งแต่ชั้นประถม 6 แต่ข่าวแจ้งว่ายังมีการขอค่าเทอมไปนั้น ยอมรับขอจริง แต่เป็นเพราะเงิน 3 พันบาทไม่ได้พอสำหรับทุกอย่าง โดยยืนยันว่าเงินที่ได้มาเป็นการใช้จ่ายในส่วนของลูก ไม่ใช่ของตัวเอง
นางชนิษฐายังพูดถึงเรื่องที่มีคนวิจารณ์ว่า อยู่ๆทำไมเพิ่งจะมาเรียกร้องตอนนี้ เป็นเพราะเห็นว่าบูบู้มีฐานะดีหรือเปล่า ว่า ก่อนหน้านี้เห็นว่าบูบู้ยังลำบาก ขณะที่ตัวเองแม้จะลำบากเหมือนกัน แต่ยังมีญาติพี่น้องที่พอจะช่วยเหลือได้
"ถูกกระแสโจมตีเยอะมาก ว่าเงินตัวเดียวที่เราอยากได้ แต่เราทำงานค่ะ มีอาชีพ ตอนเช้าขายปลาที่ตลาด เสาร์-อาทิตย์ขายของตลาดนัด ถ้าไม่มีอาชีพเราคงไม่ได้สามารถเลี้ยงเด็กคนหนึ่งให้เติบโตมา"นางชนิษฐากล่าว
ขณะที่ในส่วนลูกชายได้ให้เหตุผลในการเลิกเรียนว่า อยากออกมาช่วยแม่ขายของ แต่ก็มีแผนจะเรียนกศน.ต่อ ทั้งนี้เจ้าตัวบอกด้วยว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเจอพ่อ ได้แต่แมสเสจหาในเฟสบุ๊ค ซึงก็ได้คำตอบบ้าง ไม่ได้บ้าง แต่นั่นอาจเป็นเพราะพ่อไม่ว่าง
สำหรับการโดนบบ็อคเฟสบุ๊คนั้น แม้จะเข้าใจ แต่ก็แอบน้อยใจ เพราะได้แนะนำตัวไปแล้วว่าเป็นใคร
นางชนิษฐาบอกด้วยว่าที่ผ่านมาเวลาจะติดต่อกับบูบู้ จะเป็นการคุยผ่านไลน์ของผู้จัดการบูบู้ ซึ่งเมื่อลูกบอกว่าอยากคุยกับพ่อ ยังบอกลูกไปว่าอย่าเลย เพราะที่ผ่านมาตนเคยเจ็บกับคำพูดของบูบู้มาแล้วก็ไม่อยากให้เรืองอย่างนี้ไปถึงลูก
อย่างไรก็ดีบุตรชายของบูบู้ยังยืนยันว่าถึงอย่างไรก็ยังอยากเจอพ่อ และหวังว่าเร็วๆนี้จะได้เจอตามที่หวังไว้
"อยากเจอพ่อนะครับ อยากจะเจอตัวต่อตัวสักครั้งหนึ่ง คุยกับแบบพ่อลูก"
ทังนี้หลังจบรายการทั้งคู่ยังให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวเพิ่มเติมว่า ไม่ได้รู้สึกอะไรที่เห็นบูบู้ใช้ชีวิตหรูหรา ใช้ของแบรนด์เนม แต่ให้เงินเพียงเดือนละ 3,000 บาท โดยบุตรชายของบูบู้บอกว่า "อันนี้นเขาทำมาด้วยตัวเอง เราไม่ควรก้าวก้ายไปในส่วนนั้น"
ขณะที่นางชนิษฐาบอกว่าจริงๆแล้ว ไม่อยากให้เรื่องเป็นแบบนี้ เพราะที่ผ่านมาก็ไม่ได้อยากออกสื่อ
"เราอยู่ในที่ของเรา สามีของเรา แต่ลูกเขาต้องการอีกนิดนึง อยากจะได้เจอ อยากกอด ได้พูดคุยกับพ่อแท้ๆ"
ซึ่งบุตรชายเองก็ยอมรับว่าเป็นอย่างนั้น
"อยากกอดสักครั้ง"เขาว่า อีกทั้งถ้าได้เจอจริงๆก็จะขอโทษ เพราะไม่อยากให้เรื่องออกมาเป็นแบบนี้