ทนายเกิดผล ยกกรณีตัวอย่างเทียบกรณี พริตตี้เดียร์ ท่ายากไม่นับเป็นข่มขืน
หน้าแรกTeeNee ข่าวร้อนโลกโซเชียล โพสของคนดัง ทนายเกิดผล ยกกรณีตัวอย่างเทียบกรณี พริตตี้เดียร์ ท่ายากไม่นับเป็นข่มขืน
ยังคงเป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างต่อเนื่องอยู่ในสังคมออนไลน์อยู่ในขณะนี้ สำหรับพริตตี้ "ลัลลาเบล" น.ส.ธิติมา นรพันธ์พิพัฒน์ กับ นายรัชเดช หรือน้ำอุ่น วงศ์ทะบุตร ที่ลุกลามต่อเนื่องมาถึงก๊วนปาร์ตี้บ้านบางบัวทอง ที่ถูก "น.ส.เดียร์" พริตตี้ ที่มารับงานต่อจากลัลลาเบล แจ้งข้อหาล่วงละเมิดทางเพศ โดยภายหลังได้มีการเปิดเผยคลิปขณะที่พริตตี้เดียร์ อยู่กับนายนที หรือตี๋ สถิตพงษ์สถาพ หนึ่งในผู้จัดงานปาร์ตี้ที่บ้านหลังดังกล่าว
ล่าสุดโลกออนไลน์ต่างเกิดกระแสวิจารณ์อีกครั้ง เมื่อทนายความชื่อดังอย่าง "ทนายเกิดผล แก้วเกิด" ได้แสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า
"คดีตัวอย่าง เล่นท่ายาก สมยอม หรือ ข่มขืน" ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่า ชายหญิงคู่หนึ่งคบหากันตามประสาวันรุ่น ชายอายุ 20 ปี หญิงอายุ 26 ปี วันหนึ่ง ชายนัดหญิงให้ออกไปหา ณ สถานที่แห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ใกล้จากบ้านชายเพียง 30 เมตร หญิงอาบน้ำเสร็จ ก็ได้ออกไปหาชายตามนัดหมาย
โดยชุดที่ใส่ไปนั้นคือชุดนอน ครั้นไปถึงทั้งสองคนก็ไม่ชักช้าปฎิบัติการเล้าโลมกันจนทั้งคู่มีอารมณ์ทางเพศ #จึงเสพสมกันบนหลังเบาะรถมอร์เตอร์ไซค์
ต่อมาเวลาผ่านไป 1 เดือนเศษ หญิงไปแจ้งความดำเนินคดีชายฐานข่มขืนกระทำชำเรา
"ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกชาย 10 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสี่ คงจำคุก 7 ปี 6 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์"
ทำไมศาลฎีกาถึงพิพากษายกฟ้อง เหตุผลสั้นๆเลยครับ คือ "เล่นท่ายาก"
มาดูเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยเลยครับ ศาลวินิจฉัยได้ดีมากครับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4671/2554 โจทก์ฟ้องว่า จำเลยข่มขืนกระทำชำเรานางสาว ว. ผู้เสียหาย ซึ่งมิใช่ภริยาตน จนสำเร็จความใคร่ 1 ครั้ง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า
จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา276 วรรคหนึ่ง ลงโทษจำคุก 10 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสี่ คงจำคุก 7 ปี 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว เห็นว่า การกระทำชำเราระหว่างจำเลยและผู้เสียหายในคดีนี้เป็นเรื่องที่อยู่ในความรับรู้ของบุคคลเพียง 2 คน เท่านั้น คือ จำเลยและผู้เสียหาย ไม่มีบุคคลอื่นรู้เห็น การรับฟังคำเบิกความของผู้เสียหายซึ่งกล่าวหาว่าจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย ไม่ใช่การร่วมเพศกันโดยสมัครใจจึงต้องพิจารณาด้วยความระมัดระวัง โดยต้องพิเคราะห์ถึงข้อเท็จจริงทั้งก่อนกระทำ ขณะกระทำและหลังกระทำประกอบกัน นอกเหนือจากประเด็นเรื่องเกียรติยศและศักดิ์ศรีของลูกผู้หญิงซึ่งเป็นเรื่องหลักการโดยทั่วไป ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายเป็นหญิงสาว อายุ 26 ปี มีความเป็นผู้ใหญ่กว่าจำเลยซึ่งเป็นชายหนุ่มอายุเพียง 20 ปี
"#ขณะที่ผู้เสียหายไปพบจำเลยตามที่จำเลยนัดไปผู้เสียหายสวมชุดนอนเสื้อยกทรง กางเกงชั้นในและกางเกงขาสั้นผ้ายืดยาวเลยเข่า และพบกันที่สนามบาสเกตบอลซึ่งมีต้นไม้ขึ้นอยู่โดยรอบในยามวิกาล เวลา 20 นาฬิกา อันแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดลึกซึ้งของผู้เสียหายกับจำเลย"เมื่อพิเคราะห์ประกอบกับลักษณะที่ผู้เสียหายอ้างว่าจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย
ซึ่งปรากฏว่าผู้เสียหายนอนหงายหลังพิงเบาะรถจักรยานยนต์ ศีรษะหันไปทางท้ายรถ เท้าสองข้างงอเหยียบข้างรถซึ่งจอดอยู่ข้างอาคารโดยยกขาตั้งคู่ขึ้น
"#อันเป็นลักษณะท่าทางพิเศษยากแก่การที่จะข่มขืนกระทำชำเรา ทั้งยังได้ความจากผู้เสียหายว่าก่อนกระทำชำเราจำเลยใช้นิ้วมือแหย่อวัยวะเพศของผู้เสียหาย แสดงให้เห็นถึงการเล้าโลมอารมณ์ทางเพศของผู้เสียหายให้พร้อมในการร่วมเพศ"
ส่วนรถจักรยานยนต์ที่ผู้เสียหายนอนอยู่บนเบาะก็จอดอยู่ข้างอาคาร มีตัวอาคารบังเพียงด้านเดียว อีก 3 ด้านเปิดโล่งอยู่ ไม่น่าเชื่อว่าการกระทำชำเราของจำเลยจะเป็นการข่มขืนผู้เสียหาย สถานที่เกิดเหตุอยู่ใกล้บ้านของผู้เสียหายโดยอยู่ห่างกันเพียง 30 เมตร หากจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจริง หลังเกิดเหตุผู้เสียหายน่าที่จะรีบไปร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานเพื่อให้ดำเนินคดีแก่จำเลยโดยไม่ชักช้า
ข้ออ้างตามฎีกาของโจทก์ที่ว่า เหตุที่ผู้เสียหายไม่ไปแจ้งความทันที เพราะกลัวญาติของจำเลยซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นและเปิดโอกาสให้เจรจาประนีประนอมกัน ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง เพราะในที่สุดผู้เสียหายก็ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2547 อันเป็นเวลาหลังเกิดเหตุนาน 1 เดือนเศษอยู่ดี
โดยไม่มีปัญหาเรื่องความกลัวอิทธิพลในท้องถิ่น ส่วนบันทึกข้อความลงวันที่ 16 ตุลาคม 2547 ก็ปรากฏข้อความแต่เพียงว่าผู้เสียหายถูกจำเลยล่วงละเมิดทางเพศ (ข่มขืน) ญาติของจำเลยแสดงความรับผิดชอบโดยจ่ายเงินจำนวน 16,400 บาทเป็นค่าทำขวัญให้แก่ผู้เสียหาย ผู้ลงนามว่าเป็นผู้กระทำความผิดคือนาย ว. ซึ่งเป็นพี่เขยของจำเลยโดยระบุว่าลงนามแทนจำเลยผู้กระทำความผิด หาใช่จำเลยเป็นผู้ลงนามยอมรับว่ากระทำผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา
โดยไม่มีปัญหาเรื่องความกลัวอิทธิพลในท้องถิ่น ส่วนบันทึกข้อความลงวันที่ 16 ตุลาคม 2547 ก็ปรากฏข้อความแต่เพียงว่าผู้เสียหายถูกจำเลยล่วงละเมิดทางเพศ (ข่มขืน) ญาติของจำเลยแสดงความรับผิดชอบโดยจ่ายเงินจำนวน 16,400 บาทเป็นค่าทำขวัญให้แก่ผู้เสียหาย ผู้ลงนามว่าเป็นผู้กระทำความผิดคือนาย ว. ซึ่งเป็นพี่เขยของจำเลยโดยระบุว่าลงนามแทนจำเลยผู้กระทำความผิด หาใช่จำเลยเป็นผู้ลงนามยอมรับว่ากระทำผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา
ผู้เสียหายไม่ ส่วนบันทึกข้อความตามเอกสารก็ระบุแต่เพียงว่านาง ก. จ่ายเงินค่าทำขวัญจำนวน 16,400 บาทให้แก่ผู้เสียหายในกรณีที่จำเลยทำให้ผู้เสียหายเสื่อมเสียชื่อเสียง หาใช่จำเลยเป็นผู้จ่ายไม่ กรณีมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายหรือไม่จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายกฟ้องมานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน "สรุปคือ ศาลไม่เชื่อว่า มีการข่มขืนกันจริง เพราะท่าทางที่มีเพศสัมพันธ์กันนั้น มันเป็น “ท่ายาก” ยากแก่การที่จะข่มขืนกระทำชำเรา !!"
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!" ประกาศ "
ร่วมแสดงความคิดเห็น