เสนอ 4 เฟส ปิดประเทศระยะสั้น เปิดประเทศระยะยาว
แม้ว่าจะมีข้อมูลจากงานวิจัยว่าประเทศไทยจะโชคดีเพราะ ได้เปรียบในเรื่องสภาพภูมิกาศที่ร้อนชื้นกว่าอีกหลายประเทศที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการเจริญเติบโตของเชื้อ แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าโรคดังกล่าวนี้ติดต่อผ่านสารคัดหลั่งและการสัมผัสต่อเนื่องจากผู้ป่วย ที่มีระยะเวลาที่เชื้อฟักตัว 14 วัน และระยะเวลาระบาดได้ไม่เกิน 21 วัน อีกทั้งมีประชากรไทยจำนวนมากที่ทำงานหรือต้องอยู่อาศัยในห้องปรับอากาศที่มีอุณหภูมิเย็นกว่าสภาพแวดล้อมภายนอก ดังนั้นปัญหาเรื่องโควิด-19 ยังมีโอกาสระบาดได้ต่อเนื่องยาวนานจากผู้ป่วยหรือจะป่วยแต่ยังไม่แสดงอาการจากต่างประเทศ รวมถึงการรวมตัวคนของประชาชนจำนวนมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปรากฏตัวเลขว่ามีประชากรที่มาจากประเทศกลุ่มเสี่ยงโควิด-19 ที่ไม่ได้มีการกักตัว 14 วัน ได้เข้ามาในประเทศไทย เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ถึงช่วงต้นมีนาคม 2563 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ระบาดมากแล้ว กว่า 8 แสนคน แปลว่าเราอาจมีผู้ป่วยที่ติดเชื้อและแพร่กระจายในประเทศตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์แล้วด้วยก็ได้
การหยุดการระบาดของโรคที่ป่วยน้อยกระจายง่ายจำเป็นต้องใช้มาตรการที่ "เข้มข้น" ที่สุดเท่านั้นจึงจะสามารถหยุดการกระจายได้ ลำพัง "บุรีรัมย์โมเดล"ที่ทำเป็นต้นแบบนั้นไม่เพียงพอ เพราะเรื่องดังกล่าวนี้จะต้องทำกันอย่างพร้อมเพรียงทั้งประเทศเท่านั้นจึงจะมีโอกาสที่จะทำให้เราผ่านวิกฤติโควิด-19 ได้เร็วที่สุด
จากสถานการณ์ข้างต้นจึงขอเสนอให้ "ปิดประเทศระยะสั้นเพื่อเปิดประเทศระยะยาว" เพื่อทำให้สถานการณ์จบลงให้เร็วที่สุดดังต่อไปนี้
เฟสที่สี่ การเปิดรับนักท่องเที่ยว โดยเลือกจากต่างประเทศที่ปลอดภัยแล้ว โดยเริ่มต้นจากประเทศที่ใช้มาตรการเข้มข้นในลักษณะเดียวกันและมีความปลอดภัย โดยให้เปิดไปที่ละประเทศ หรือเปิดประเทศอย่างสมบูรณ์เมื่อการระบาดโรคยุติแล้ว
การดำเนินมาตรการทั้ง 4 เฟสนั้น ต้องอาศัยภาวะความเป็นผู้นำที่สูง และต้องบอกกับประชาชนให้ทราบล่วงหน้าทั้ง 4 เฟสตั้งแต่แรก เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนวุ่นวายหรือลดแรงต้านให้น้อยลง และรวมพลังใจคนในชาติให้ฝ่าฟันวิกฤติไปสู่เป้าหมายเดียวกันอย่างมีเอกภาพ
ขอย้ำว่าถึงแม้ประเทศจะไม่ดำเนินการตามมาตรการข้างต้น ก็เกิดสภาพปัญหาทางเศรษฐกิจรุนแรงอยู่แล้ว และมีโอกาสที่สถานการณ์อาจจะยืดเยื้อยาวนาน อยู่ที่ว่ารัฐบาลจะมีความกล้าหาญในการตัดสินใจใช้มาตรการแรงเพื่อหยุดโรคนี้ยุติลงเร็วที่สุดหรือไม่เท่านั้น
ด้วยความปรารถนาดี
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต