ทนายเดชาประกาศลงไลฟ์ พร้อมเคียงข้างช่วยเหลืออัจฉริยะ ดำเนินคดีจุรินทร์

สืบเนื่องจากเมื่อ วันที่ 13 เม.ย. ที่ผ่านมา ที่ บก.ปอท. นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม พร้อมด้วย นายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความ เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองผบก.ปอท. เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในข้อหาความผิดตาม พรบ.คอมพิวเตอร์ และความผิดตามมาตรา 157

ก่อนเปิดใจว่า สืบเนื่องก่อนหน้านี้ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้มีการแถลงข่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ได้มีการตรวจสอบพบ 11 บริษัท มีสต๊อกหน้ากากอนามัยจำนวน 200 ล้านชิ้น และสามารถผลิตได้ 100 ล้านชิ้นต่อเดือน พร้อมขอให้พี่น้องประชาชนเชื่อมั่นว่ามีหน้ากากเพียงพอในการป้องกันเชื่อไวรัสโควิด-19

นายอัจฉริยะ กล่าวต่อว่า ต่อมาวันที่ 7 มี.ค. ที่ผ่านมา นายจุรินทร์ ก็ได้มีการแถลงข่าวอีกครั้ง ว่าแท้จริงโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยสามารถผลิตได้ 36 ล้านชิ้นต่อเดือน และเมื่อวันที่ 30 มี.ค. ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่ามีหน้ากากอนามัย 200 ล้านชิ้นไม่เป็นความจริง แต่เป็นเพียงวัตุดิบในการผลิตจำนวน 200 ล้านชิ้นเท่านั้น จึงทำให้บุคลากรทางการแพทย์ และพี่น้องประชาชน รวมถึงตัวเองได้รับความเสียหายเช่นเดียวกัน เนื่องจากไม่สามารถหาหน้ากากมาป้องกันเชื้อไวรัสดังกล่าวจนทำให้ติดเชื้อถึงแก่ความตาย ซึ่งการกระทำของ นายจุรินทร์ เป็นการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จและมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตเนื่องจากนายจุรินทร์ พร้อมกับพวก ได้แก่ รองอธิบดีกรมการค้าภายใน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ และเจ้าของโรงงานการผลิต ร่วมกันแถลงข่าวจนทำให้เกิดความน่าเชื่อถือต่อพี่น้องประชาชน

“ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการมุ่งหวังทางการเมือง และก็มายอมรับว่าสิ่งที่พูดทั้งหมดไม่เป็นความจริงเป็นความเท็จทั้งสิ้น ซึ่งเป็นการบริหารงานที่ทุจริต สร้างภาพลักษณ์ให้กับพรรคประชาธิปัตย์ และทำให้ประชาชนหลงเชื่อจนเกิดความเสียหาย“ นายอัจฉริยะ กล่าว

ในทางคดีซึ่งผมไม่กังวลอยู่แล้ว และผมก็ไม่ได้มีความผิดตามพรบ.คอมพิวเตอร์อยู่แล้ว เพราะความผิดตาม พรบ.คอมพิวเตอร์ตามมาตรา 14 (1) ต้องเป็นความผิดหลอกลวง ส่วน (2) ต้องทำให้ประชาชนตื่นตระหนกตกใจ ที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์ไม่เคยตอบคำถามได้ และกรมการค้าภายในก็ไม่เคยตอบคำถามได้เกี่ยวกับหน้ากากอนามัย 200 ล้านชิ้น และมีเพียงแค่ 11 บริษัท แต่ทำไมที่ผมไปร่วมจับกุมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เกี่ยวข้องกับบริษัทผลิตหน้ากากมีเป็นจำนวนมาก

วันนี้ทุกสิ่งทุกอย่างของกระทรวงพาณิชย์ หากไม่มีความผิด รัฐมนตรีถึงได้มีการปลดอธิบดีกรมการค้าภายใน และมีการริบอำนาจของกระทรวงพาณิชย์ทั้งหมดมาอยู่ในศูนย์พรก.ฉุกเฉิน นอกจากนี้ยังมีการยึดอำนาจของกระทรวงพาณิชย์ ไม่ให้มีการจัดซื้อจัดจ้างหน้ากากอนามัยโดยมาให้กระทรวงมหาดไทยมาเป็นผู้ดูแลแทน ทุกวันนี้ประชาชนทั่วไปก็ยังไม่สามารถหาซื้อหน้ากากอนามัยที่นายจุรินทร์กับพวกที่บอกว่าเพียงพอ

“ผมเองก็เป็นคนใต้ ที่บ้านเลือกพรรคประชาธิปัตย์มาโดยตลอด จึงอยากให้นายจุรินทรงแสดงสปิริตด้วยการลาออกจากตำแหน่ง เพื่อแสดงความรับผิดชอบที่บริหารการจัดการอย่างล้มเหลว ปล่อยให้มีการทุจริตคอรัปชั่นเรื่องหน้ากากอนามัย ส่วนจะแจ้งความกับ รองอธิบดีกรมการค้าภายใน หรือ ปลัดการทรวงพาณิชย์ ที่ไปร่วมแถลงข่าวด้วยหรือไม่นั้น ถือว่าให้การสนับสนุนเป็นตัวการร่วม โดยต้องดูพนักงานสอบสวนว่าจะเข้าข่ายอีกหรือไม่ ซึ่งจะได้แจ้งเอาผิดต่อไป “ นายอัจฉริยะ กล่าว

ต่อข้อสงสัยที่ว่าการเดินทางมาแจ้งความครั้งนี้เป็นเหมือนกับการเอาคืนที่ นายจุรินทร์ ได้แจ้งความจับไว้ก่อนหน้านี้หรือไม่นั้น ตอนแรกตนเองกะว่าจะรอทีเดียว เนื่องจากอยู่ระหว่างสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สิ่งที่นายจุรินทร์ มาแจ้งความผิดตามพรบ.คอมพิวเตอร์ กับตนเองนั้น ขอตั้งข้อสังเกตุว่า ทำไมนายบอยจึงมีการพูดถึงหน้ากากอนามัย 200 ล้านชิ้น ตรงกับ นายจุรินทร์ เช่นเดียวกันในฐานะประชาชนทั่วไปเรามีสิทธิ์ตั่งข้อสังเกตุ ข้อสงสัยได้ ทั้งนี้หน้ากากอนามัยที่ นายจุรินทร์พูดประชาชนทั่วไปไม่สามารถหาซื้อได้ ถ้าซื้อได้ก็มีราคาแพง นอกจากนี้ก็มีการนำสิ่งของของกรมการค้าภายใน ภายใต้การกำกับดูแลของ นายจุรินทร์ นำไปขายอยู่ในตลาดมืด และส่งออกไปยังต่างประเทศอีกด้วย

ด้านนายเดชา ทนายความ กล่าวว่า ผมก็รู้จักนายอัจฉริยะมานานพอสมควร ที่ผ่านมาก็ไม่เคยใส่ร้ายใครถ้านายอัจฉริยะเป็นคนชอบใส่ร้ายเหมือนกับที่คนอื่นเค้าพูด ป่านนี้ก็คงติดคุกไปแล้ว ที่ผ่านมานายอัจฉริยะก็ทำงานด้านการตรวจสอบมาตลอด ก็น่าจะยืนยันได้ว่าเขาเป็นคนดี ในส่วนของคดีที่นายจุรินทร์ มาแจ้งความไว้ ซึ่งเป็นสิทธิ์ของท่าน ทางเราก็ต้องเตรียมพยานมาหักล้าง แต่เท่าที่ฟังก็ไม่เห็นมีอะไรที่เป็นความเท็จ มองว่าเป็นความเข้าใจที่ไม่ตรงกัน การจะมีความผิดนั้นมองเป็นเรื่องข้อเท็จจริงมากกว่า