แฉกันเอง! ภูมิวัฒน์ ประกาศยุติบทบาทร่วมม็อบปลดแอก
"ผมจะไม่มีวันสู้เพื่อประชาธิปไตยอีกต่อไปแล้ว จะสู้แบบไหน ก็สู้แค่เพื่อให้ได้ผู้กดขี่คนใหม่ และทิ้งคนอื่นๆ ไว้ข้างหลัง หักความฝันของคนที่ถูกทิ้งไว้กลางทาง พี่ๆ ก็ดูไว้นะครับ ว่าผมเป็นมดงานพวกพี่มากี่ปี เป็นหนึ่งในคนที่พวกพี่บีบเค้นแรงงาน ให้เป็นบันได ให้เป็นที่เหยียบย่ำจนสามารถไปรับเงินสถานทูต นั่งรับเงินเดือนในตำแหน่งสำคัญๆ รับงานจาก NGO ต่างประเทศ เคลื่อนไหวตามการล็อบบี้ หรือตกเศษเงินให้น้องๆ หน้าใหม่ แต่ตัวเองหักไว้กินเอง 90% ผมไม่เอาด้วยหรอก ประชาธิปไตยส้นตีนนี่ที่ทำให้ผมต้องเสียเพื่อน เสียความรู้สึกกับคนที่ผมรัก เสียคนที่เคยเคียงข้างกันเป็นมิตรภาพที่งดงาม"
รวมทั้งยังได้โพสต์ข้อความอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมือง กรณีถูกปฏิเสธไม่ให้ขึ้นเวทีปราศรัยแห่งหนึ่ง อาทิ "อนุสติ #ทีมอคติ กับการอำลาวงการนักกิจกรรมฝั่งประชาธิปไตย หลังเป็นลิ่วล้อแบกหามมานานครัฟ"
พร้อมทั้งอธิบายต่อว่า "ผมเอง เคลื่อนไหวในการต่อต้านคณะรัฐประหารนับตั้งแต่วันแรก ในฐานะเยาวชน และนักเคลื่อนไหวอิสระที่ไม่เห็นด้วยกับที่มาของอำนาจฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติที่ไม่มีความชอบธรรม ผมจึงไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งส่วนใด และไม่เคย ‘ถูกนับว่าเป็นส่วนหนึ่ง' ของขบวนไหนมาตั้งแต่ต้น ที่พูดแบบนี้ ก็เพราะไม่เคยมีส่วนร่วมในระดับใด นอกจากการช่วยแบกของ ช่วยทำงานเล็กๆ น้อยๆ แม้จะมีค่ายหรืออะไร ก็ไม่เคยถูกชวนไป มีระยะหนึ่งที่ผมได้ร่วมงานการเมืองกับพรรคที่พวกที่เรียกตัวเองว่าฝ่ายประชาธิปไตยไม่ค่อยจะนิยมเท่าไหร่นัก (โดยไม่คำนึงว่า ถ้าไม่ทำ กูจะเอาอะไรกิน) ก็โดนตัดขาดจากความเป็นเพื่อนบ้าง ถูกทำให้กลายเป็นคนไม่รู้จักกัน ในขณะที่หลายคนได้ถูกชักชวนไปทำงาน ณ พรรคแห่งหนึ่ง ผมและเพื่อนหลายคนไม่ได้ถูกชวนไป หรือถูกชวนไปก็กลายเป็นลูกจ้างระดับต่ำที่ค่าแรงออกไม่ตรงเวลา หรืออยู่ในพื้นที่ซึ่งอ้างว่าเปิดความคิดเห็น แต่ไม่ถูกรับฟัง เพราะระดับของการศึกษา
บางคนที่เอาเรื่องเหล่านี้ไปพูด โดนโทรขู่ทำร้าย บ้างเองก็ถึงขั้นโดนขู่วางเพลิง (มีช่วงหนึ่ง ที่พวกอกหักเอามาย้อนคุยกัน ว่าเป็นช่วงที่นักกิจกรรมเข้าโรงพยาบาลบ้ากันเป็นโขยง ก็ตลกๆ ดี)
ในเรื่องหาเศษหาเลยนั้น ผมยังยืนยันอยู่ว่า แทบจะทั้งหมด แทบจะทั้งหมดที่นึกถึงออก หรือถ้าให้นับในจำนวนคนที่เป็นหน้าใหม่ทั้งหมดเลยก็ว่าได้ พวกเขาล้วน ใช้ทุนทรัพย์ส่วนตัว หรือที่มาจากการบริจาคของพี่น้องผู้ศรัทธาในตัวเหล่าคนที่เป็นนักสู้ และผมยังยืนยันได้ว่า มันแทบจะทุกคนที่ร่วมทาง ที่ต้องแบกรับความรับผิดชอบในการสูญเสียโอกาสทางอนาคตหลายๆ ทาง ในขณะที่พวกที่เป็น ‘ลูกอีแอบ' บางคน ยังมีอนาคตเต็มที่ และไม่กลับไปทักทายคนเหล่านั่นราวกับว่าไม่เคยรู้จักกัน
การต่อสู้ของผมต่อเหล่าผู้มีอำนาจเหล่านี้จะไม่มีวันจบ จนกว่าสังคมนี้จะมีเสรีภาพ เสรีภาพที่แท้จริงที่ไม่ใช่เพียงแต่ต้องพูดเรื่องของผู้มีอำนาจได้อย่างหมดเปลือก แต่ยังต้องพูดถึงความไม่ชอบมาพากลทุกอย่างได้ในทุกระดับ การต่อสู้ของผมต่อจะยังดำเนินไปจนกว่าเราจะมีสังคมที่ไร้ซึ่งความเหลื่อมล้ำ ทางโอกาส ทางอำนาจ ทางสังคม ทางการศึกษา แม้แต่ในทางที่เหลื่อมล้ำในระดับการมีส่วนร่วมกับกระบวนการทางประชาธิปไตยทุกรูปแบบ
อย่านับผมว่าเป็นฝ่ายที่เรียกตัวเองว่าฝ่ายประชาธิปไตย เพราะนับตั้งแต่วันแรกที่ผมกลับมายืนบนสนามนี้ ผมเลิกเรียกตัวเองว่าแบบนั้นไปแล้ว ผมนับว่าตัวเองเป็นชาวพุทธ จะสู้แบบที่ต้องมีผู้กดขี่คนใหม่ ผมไม่สู้ด้วย และถ้ามีผู้กดขี่คนใหม่ ผมนี่แหล่ะ จะหาทางฆ่าพวกแม่งก่อนใครเลย จะสู้เพื่อประชาธิปไตย ก็จะได้มา ด้วยกระบวนการที่มีความเป็นประชาธิปไตยในทุกระดับ ผมไม่เคยกลัวไอ้อีหน้าไหน และผมเชื่อเสมอ ว่าการพูดความจริง ไม่เคยส่งผลเสียเท่ากับการตระบัดสัตย์กับมวลชน อย่านับรวมผมเป็นพวกเดียวกันกับคนที่ไม่นับว่าผมเป็นพวกเดียวกัน ผมมีการต่อสู้ของผม พวกเขาบางคนเหล่านั้นมีการต่อสู้ของพวกเขา นี่ไม่ใช่การอกหักครับ แค่เรารู้ตัว ว่าเรามีการต่อสู้ของตัวเอง
เรื่องวันนั้น มันเป็นจุดแตกหักสำหรับผม มันเป็นความไม่พอใจที่มีอยู่มา 6-7 ปีบนเส้นทางนี้ (นั่นหมายความว่า สิ่งที่ผมพูดอยู่ ไม่เกี่ยวข้องเลย กับคนที่เพิ่งเริ่มเคลื่อนไหว หรือคนหน้าใหม่ในขบวน) ไม่ใช่อะไรที่อยู่ดีๆ ผมจะมาพูด และก่อนกลับมาบนทางนี้ ผมก็ได้พยายามรื้อฟื้นหลายๆ อย่างกับผู้เกี่ยวข้อง พยายามคุยดีๆ หลายครั้งเหมือนที่หลายๆ คนเคยทำในอดีต แต่ก็ไร้คำตอบ ไร้ผล ไร้การตอบรับ เคยพยายามพูดดีๆ อดทนนานแสนนาน จนต้องบันดาลโทสะ มันมีหลายๆ เรื่องที่ผมไม่โอเคด้วย แล้วไม่ใช่เพิ่งจะมาไม่โอเคเพราะแค่เรื่องนั้นเพียงอย่างเดียว ... มันจบแล้วครับนาย"