เชาว์ บี้ ราชทัณฑ์ แจง พักโทษ สรยุทธ2มาตรฐานหรือไม่?
วันที่ 14 มี.ค. นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊ก เรื่อง "อิสรภาพของสรยุทธกับคำถามราชทัณฑ์สองมาตรฐาน" มีเนื้อหาว่า
เช้าวันที่ 14 มี.ค. เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์นำตัวนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา อายุ 55 ปี อดีตพิธีกรรายการข่าวชื่อดัง จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ไปใส่กำไลอิเล็กทรอนิกส์ ติดตามตัวที่สำนักงานคุมประพฤติกรุงเทพมหานคร เขต 7 หลักสี่ หลังจากที่ได้รับการพิจารณาพักโทษเป็นกรณีพิเศษ ท่ามกลางญาติและคนสนิทมารอรับจำนวนมาก โดยนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา กับพวก ถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีบริษัท ไร่ส้ม แก้ไขค่าโฆษณาของ อสมท เสียหายกว่า 138 ล้านบาท
เมื่อปี 2558 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 29 ก.พ.59 ให้จำคุก 6 กระทง กระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวมจำคุกคนละ 20 ปี แต่ลดโทษให้เหลือจำคุก 13 ปี 4 เดือน ไม่รอลงอาญา ต่อมา ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น และศาลฎีกา มีคำพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุก นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา กระทงละ 2 ปี 6 กระทง รวมจำคุก 12 ปี และลดโทษให้เหลือจำคุก 6 ปี 24 เดือน
นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ถูกส่งตัวเข้าไปอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ พฤติกรรมของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ถูกจับตามองจากทุกฝ่าย เพราะ นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ได้รับการปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ไม่เหมือนกับนักโทษโดยทั่วไป
ได้รับอภิสิทธิ์ให้จัดรายการทีวีในเรือนจำ ร่วมกับแขกรับเชิญจากข้างนอก ทำอาหารโชว์กันอย่างสนุกสนาน การใช้ชีวิตในเรือนจำของ นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา จึงสุขสบาย แตกต่างจากนักโทษคนอื่นอย่างชัดเจน
และได้รับการพาสชั้นเป็นนักโทษเด็ดขาดชั้นเยี่ยมอย่างรวดเร็ว ได้รับพระราชทานอภัยโทษ โดยการลดโทษมาแล้ว 2 ครั้ง เมื่อเดือน ส.ค.63 และเมื่อวันที่ 5 ธ.ค.63 กำหนดโทษหลังสุด 3 ปี 6 เดือน 20 วัน แต่จำคุกมาแล้ว 1 ปี 2 เดือน 6 วัน
คงเหลือโทษจำคุก 2 ปี 4 เดือน 14 วัน จากโทษเดิม 6 ปี 24 เดือน ทำให้มีคุณสมบัติครบตามหลักเกณฑ์การพักการลงโทษกรณีมีเหตุพิเศษจากโทษ 6 ปี 24 เดือน แต่ได้รับโทษจำคุกจริงเพียง 1 ปี 2 เดือน 6 วัน ทิ้งปริศนาให้นักโทษที่มีอัตราโทษ
ในระดับใกล้เคียงกันเข้าสู่เรือนจำพร้อมกัน แต่ไม่รวย และไม่ดังเหมือนนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ต่างนั่งมองตากันปริบๆ
หลายคนจึงสงสัยว่า นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ได้รับการอภัยโทษมาได้อย่างไร เพราะคดีทุจริตเป็นคดีนโยบายที่ภาครัฐให้ความสำคัญและปราบปรามอย่างจริงจังเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง แม้กระทั่งรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงก็บัญญัติกีดกันคนทุจริตไว้ในหลายมาตรา
ผมไม่ได้รังเกียจที่นายสุรยุทธ สุทัศนะจินดา ประพฤติตัวเป็นคนดี ทำความดีในเรือนจำ และได้รับการลดโทษ แต่การได้รับการปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียมในเรือนจำ 1 ปีเศษ ที่นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ใช้ชีวิตอยู่อย่างสบาย และได้รับการพาสชั้นอย่างรวดเร็ว
จนได้รับการพักโทษเป็นกรณีพิเศษ ถ้าไม่ใช่เพราะนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา เป็นคนรวย คนดัง จะได้รับอภิสิทธิ์เช่นนี้หรือไม่ ถือเป็นคำถามคาใจที่กรมราชทัณฑ์ ต้องตอบ มิฉะนั้นคำว่า สองมาตรฐาน คุกไว้ขังคนจน คนรวยไม่ติดคุก ไปจนถึง รวย ดัง ออกจากคุกง่าย คนจนหมดโอกาสมองเห็นแสงตะวัน เพราะใช้ประโยชน์จากเงื่อนไขการลดโทษไม่เป็น
ไม่อยู่ในสายตาคนคุมกฎที่จะเดินเรื่องให้ เรือนจำจึงมืดมิดสำหรับคนจำนวนหนึ่ง แต่สว่างโร่ได้สำหรับบางคนใช่ไหม ผมไม่อยากให้การออกจากคุกของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ครั้งนี้มีบริบทเรื่องบุญคุณต้องตอบแทน เพราะกรรมกรข่าวพันล้านคนนี้มีอิทธิพลด้านความคิดต่อคนจำนวนไม่น้อย และกำลังจะกลับไปทำงานด้านสื่อในเร็ววันนี้.
เช้าวันที่ 14 มี.ค. เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์นำตัวนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา อายุ 55 ปี อดีตพิธีกรรายการข่าวชื่อดัง จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ไปใส่กำไลอิเล็กทรอนิกส์ ติดตามตัวที่สำนักงานคุมประพฤติกรุงเทพมหานคร เขต 7 หลักสี่ หลังจากที่ได้รับการพิจารณาพักโทษเป็นกรณีพิเศษ ท่ามกลางญาติและคนสนิทมารอรับจำนวนมาก โดยนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา กับพวก ถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีบริษัท ไร่ส้ม แก้ไขค่าโฆษณาของ อสมท เสียหายกว่า 138 ล้านบาท
เมื่อปี 2558 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 29 ก.พ.59 ให้จำคุก 6 กระทง กระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวมจำคุกคนละ 20 ปี แต่ลดโทษให้เหลือจำคุก 13 ปี 4 เดือน ไม่รอลงอาญา ต่อมา ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น และศาลฎีกา มีคำพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุก นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา กระทงละ 2 ปี 6 กระทง รวมจำคุก 12 ปี และลดโทษให้เหลือจำคุก 6 ปี 24 เดือน
นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ถูกส่งตัวเข้าไปอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ พฤติกรรมของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ถูกจับตามองจากทุกฝ่าย เพราะ นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ได้รับการปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ไม่เหมือนกับนักโทษโดยทั่วไป
ได้รับอภิสิทธิ์ให้จัดรายการทีวีในเรือนจำ ร่วมกับแขกรับเชิญจากข้างนอก ทำอาหารโชว์กันอย่างสนุกสนาน การใช้ชีวิตในเรือนจำของ นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา จึงสุขสบาย แตกต่างจากนักโทษคนอื่นอย่างชัดเจน
และได้รับการพาสชั้นเป็นนักโทษเด็ดขาดชั้นเยี่ยมอย่างรวดเร็ว ได้รับพระราชทานอภัยโทษ โดยการลดโทษมาแล้ว 2 ครั้ง เมื่อเดือน ส.ค.63 และเมื่อวันที่ 5 ธ.ค.63 กำหนดโทษหลังสุด 3 ปี 6 เดือน 20 วัน แต่จำคุกมาแล้ว 1 ปี 2 เดือน 6 วัน
คงเหลือโทษจำคุก 2 ปี 4 เดือน 14 วัน จากโทษเดิม 6 ปี 24 เดือน ทำให้มีคุณสมบัติครบตามหลักเกณฑ์การพักการลงโทษกรณีมีเหตุพิเศษจากโทษ 6 ปี 24 เดือน แต่ได้รับโทษจำคุกจริงเพียง 1 ปี 2 เดือน 6 วัน ทิ้งปริศนาให้นักโทษที่มีอัตราโทษ
ในระดับใกล้เคียงกันเข้าสู่เรือนจำพร้อมกัน แต่ไม่รวย และไม่ดังเหมือนนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ต่างนั่งมองตากันปริบๆ
หลายคนจึงสงสัยว่า นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ได้รับการอภัยโทษมาได้อย่างไร เพราะคดีทุจริตเป็นคดีนโยบายที่ภาครัฐให้ความสำคัญและปราบปรามอย่างจริงจังเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง แม้กระทั่งรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงก็บัญญัติกีดกันคนทุจริตไว้ในหลายมาตรา
ผมไม่ได้รังเกียจที่นายสุรยุทธ สุทัศนะจินดา ประพฤติตัวเป็นคนดี ทำความดีในเรือนจำ และได้รับการลดโทษ แต่การได้รับการปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียมในเรือนจำ 1 ปีเศษ ที่นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ใช้ชีวิตอยู่อย่างสบาย และได้รับการพาสชั้นอย่างรวดเร็ว
จนได้รับการพักโทษเป็นกรณีพิเศษ ถ้าไม่ใช่เพราะนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา เป็นคนรวย คนดัง จะได้รับอภิสิทธิ์เช่นนี้หรือไม่ ถือเป็นคำถามคาใจที่กรมราชทัณฑ์ ต้องตอบ มิฉะนั้นคำว่า สองมาตรฐาน คุกไว้ขังคนจน คนรวยไม่ติดคุก ไปจนถึง รวย ดัง ออกจากคุกง่าย คนจนหมดโอกาสมองเห็นแสงตะวัน เพราะใช้ประโยชน์จากเงื่อนไขการลดโทษไม่เป็น
ไม่อยู่ในสายตาคนคุมกฎที่จะเดินเรื่องให้ เรือนจำจึงมืดมิดสำหรับคนจำนวนหนึ่ง แต่สว่างโร่ได้สำหรับบางคนใช่ไหม ผมไม่อยากให้การออกจากคุกของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ครั้งนี้มีบริบทเรื่องบุญคุณต้องตอบแทน เพราะกรรมกรข่าวพันล้านคนนี้มีอิทธิพลด้านความคิดต่อคนจำนวนไม่น้อย และกำลังจะกลับไปทำงานด้านสื่อในเร็ววันนี้.
ต่อมา กรมคุมประพฤติ ชี้แจง ระบุว่า คุณสรยุทธ ไม่ได้เป็นคนที่กระทรวงยุติธรรมเป็น วีไอพี สรยุทธ รับโทษเช่นเดียวกับผู้ต้องขังคนอื่นทั่วไป กระบวนการทั้งหมดก็เป็นเรื่องปกติ เพียงแต่ สรยุทธ เป็นผู้ที่สื่อมวลชนให้ความสนใจ
ยืนยันด้วยว่า สามารถทำงานในฐานสื่อมวลชนได้ปกติ ไม่มีข้อจำกัดใดๆ สามารถปฏิบัติหน้าที่โดยติดกำไลอีเอ็มที่ข้อเท้า โดยกรมคุมประพฤติ คุมพื้นที่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล โดยหากจะออกนอกพื้นที่ต้องทำเรื่องขอกับกรมฯใน 3 วัน
สำหรับนายสรยุทธจะมีน้องสาวเป็นผู้อุปการะ ตามขั้นตอนการคุมประพฤติ โดยพักอาศัยอยู่ในเขตบางเขน กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นเขตที่อยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานคุมประพฤติกรุงเทพมหานคร 7
โดยสำนักงานคุมประพฤติได้มอบหมายให้ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานคุมประพฤติฯ เป็นเจ้าของคดี หลังจากนั้นจะต้องมารายงานตัวที่สำนักงานคุมประพฤติ ซึ่งทางพนักงานคุมประพฤติจะออกสมุดนัดรายงานตัวให้ พนักงานคุมประพฤติจะชี้แจงเงื่อนไขการปฏิบัติตัวในระหว่างการคุมความประพฤติ และเงื่อนไขในการติดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว ทั้งนี้ ยังต้องมีการปฐมนิเทศผู้อุปการะซึ่งเป็นน้องสาว ตามที่มีการแจ้งไว้ รวมถึงการติดตามควบคุม พฤติกรรมให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยการปฏิบัติตามเงื่อนไข การคุมความประพฤติและเงื่อนไขในการติดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว
ยืนยันด้วยว่า สามารถทำงานในฐานสื่อมวลชนได้ปกติ ไม่มีข้อจำกัดใดๆ สามารถปฏิบัติหน้าที่โดยติดกำไลอีเอ็มที่ข้อเท้า โดยกรมคุมประพฤติ คุมพื้นที่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล โดยหากจะออกนอกพื้นที่ต้องทำเรื่องขอกับกรมฯใน 3 วัน
สำหรับนายสรยุทธจะมีน้องสาวเป็นผู้อุปการะ ตามขั้นตอนการคุมประพฤติ โดยพักอาศัยอยู่ในเขตบางเขน กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นเขตที่อยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานคุมประพฤติกรุงเทพมหานคร 7
โดยสำนักงานคุมประพฤติได้มอบหมายให้ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานคุมประพฤติฯ เป็นเจ้าของคดี หลังจากนั้นจะต้องมารายงานตัวที่สำนักงานคุมประพฤติ ซึ่งทางพนักงานคุมประพฤติจะออกสมุดนัดรายงานตัวให้ พนักงานคุมประพฤติจะชี้แจงเงื่อนไขการปฏิบัติตัวในระหว่างการคุมความประพฤติ และเงื่อนไขในการติดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว ทั้งนี้ ยังต้องมีการปฐมนิเทศผู้อุปการะซึ่งเป็นน้องสาว ตามที่มีการแจ้งไว้ รวมถึงการติดตามควบคุม พฤติกรรมให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยการปฏิบัติตามเงื่อนไข การคุมความประพฤติและเงื่อนไขในการติดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว
สำหรับเงื่อนไขของผู้ถูกคุมประฤติ ที่จะต้องกระทำภายหลังได้รับการปล่อยตัว มีดังนี้
1.รายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ
2.พักอาศัยอยู่กับผู้อุปการะตามสถานที่ที่แจ้ง เว้นแต่มีเหตุจำเป็นให้ยื่นคำร้องต่อพนักงานคุมประพฤติในท้องที่เดิมและต้องได้รับการอนุญาตก่อน
3.ปฏิบัติตามคำแนะนำและคำตักเตือนของพนักงานคุมประพฤติ และเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อการแก้ไข ฟื้นฟูตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กรมคุมประพฤติกำหนด
4.ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับ หากมีการฝ่าฝืนและถูกลงโทษโดยเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่และอำนาจตามกฎหมาย ระเบียบ หรือข้อบังคับ ไม่ว่าจะเป็นโทษสถานใด นักโทษเด็ดขาดหรือผู้อุปการะต้องแจ้งให้พนักงานคุมประพฤติทราบทุกครั้ง
5.ประกอบอาชีพสุจริต
6.เงื่อนไขอื่นตามที่คณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาวินิจฉัยพักการลงโทษกำหนด
พร้อมมีเงื่อนไขอื่น ๆ เช่น
- ห้ามเข้าใกล้เรือนจำ
- ไม่ให้ขึ้นเครื่องบิน หากมีความจำเป็นต้องขออนุญาตก่อน
- ไม่ให้ประกอบอาชีพ ทำธุรกิจหรือธุรกรรมกับบุคคลที่มีคดีความ
- ไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด
- ไม่ให้เป็นพิธีกรหรือโฆษกในงานที่เกี่ยวกับการเมือง แต่สามารถทำหน้าที่สื่อภายใต้จรรยาบรรณขอววิชาชีพได้ตามปกติ
1.รายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ
2.พักอาศัยอยู่กับผู้อุปการะตามสถานที่ที่แจ้ง เว้นแต่มีเหตุจำเป็นให้ยื่นคำร้องต่อพนักงานคุมประพฤติในท้องที่เดิมและต้องได้รับการอนุญาตก่อน
3.ปฏิบัติตามคำแนะนำและคำตักเตือนของพนักงานคุมประพฤติ และเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อการแก้ไข ฟื้นฟูตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กรมคุมประพฤติกำหนด
4.ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับ หากมีการฝ่าฝืนและถูกลงโทษโดยเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่และอำนาจตามกฎหมาย ระเบียบ หรือข้อบังคับ ไม่ว่าจะเป็นโทษสถานใด นักโทษเด็ดขาดหรือผู้อุปการะต้องแจ้งให้พนักงานคุมประพฤติทราบทุกครั้ง
5.ประกอบอาชีพสุจริต
6.เงื่อนไขอื่นตามที่คณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาวินิจฉัยพักการลงโทษกำหนด
พร้อมมีเงื่อนไขอื่น ๆ เช่น
- ห้ามเข้าใกล้เรือนจำ
- ไม่ให้ขึ้นเครื่องบิน หากมีความจำเป็นต้องขออนุญาตก่อน
- ไม่ให้ประกอบอาชีพ ทำธุรกิจหรือธุรกรรมกับบุคคลที่มีคดีความ
- ไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด
- ไม่ให้เป็นพิธีกรหรือโฆษกในงานที่เกี่ยวกับการเมือง แต่สามารถทำหน้าที่สื่อภายใต้จรรยาบรรณขอววิชาชีพได้ตามปกติ
นายสรยุทธถือเป็นนักโทษเด็ดขาดชั้นเยี่ยม ได้รับพระราชทานอภัยโทษ โดยการลดโทษมาแล้ว 2 ครั้งเมื่อช่วงเดือนส.ค.63 และครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 5 ธ.ค.63 กำหนดโทษหลังสุด 3 ปี 6 เดือน 20 วัน แต่จำคุกมาแล้ว 1 ปี 2 เดือน 6 วัน คงเหลือโทษจำคุก 2 ปี 4 เดือน 14 วัน จากโทษเดิม 6 ปี 24 เดือน
นายสรยุทธจึงถือเป็นนักโทษที่รับโทษจำคุกมาแล้วระยะหนึ่ง และจะมีคุณสมบัติครบตามหลักเกณฑ์การพักการลงโทษกรณีมีเหตุพิเศษ นายสรยุทธ และพวกถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีบริษัทไร่ส้ม แก้ไขค่าโฆษณา ของ อสมท เสียหายกว่า 138 ล้านบาท เมื่อปี 2558 ซึ่งนายสรยุทธสู้คดีถึง 3 ศาล โดยศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 29 ก.พ. 2559 ให้จำคุก 6 กระทงๆ ละ 3 ปี 4 เดือน
รวมจำคุกคนละ 20 ปี แต่ลดโทษให้เหลือจำคุก 13 ปี 4 เดือน ไม่รอลงอาญา ถัดมาปีกว่า ศาลอุทธรณ์ ก็มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น เมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2560 และศาลฎีกา มีคำพิพากษาแก้เป็นว่าให้จำคุกนายสรยุทธ กระทงละ 2 ปี 6 กระทง รวมจำคุก 12 ปี และลดโทษให้เหลือจำคุก 6 ปี 24 เดือน
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!" ประกาศ "
ร่วมแสดงความคิดเห็น