หมอสูติฯเล่านาทีระทึก ช่วยชีวิตคนบนเครื่องบิน


หมอสูติฯเล่านาทีระทึก ช่วยชีวิตคนบนเครื่องบิน

โลกออนไลน์ได้มีการแชร์โพสต์จากเฟซบุ๊ก Artitaya Singwongsa ซึ่งเป็นคุณหมอสูตินรีเวช ซึ่งได้เล่าประสบการณ์ช่วยชีวิตคนบนเครื่องบิน ขณะบินกลับจากเกาหลี เมื่อคืนวันอาทิตย์ (12 พ.ค.) ที่ผ่านมา

คนไข้เป็นผู้ชายอายุ 25-35 ปี มีอาการแน่นหน้าอกหายใจไม่ออก ใจเต้นแรงและหนาว เวียนศีรษะเล็กน้อย ผะอืดผะอม แต่รู้ตัวรู้เรื่องดี ซึ่งแอร์โฮสเตสได้ย้ายที่นั่ง จาก economy มา business class

ระบุว่า

"ช่วยคนบนเครื่องบิน ฉบับหมอสูตินรีเวช

หลังฟื้นฟูร่างกายมาสองวันแล้ว ขอเล่าประสบการณ์ช่วยคนไข้บนเครื่องบินให้ฟัง เพื่อเป็นสาระประโยชน์กับเพื่อนแพทย์ทั้งหลาย และทุกคนที่ต้องขึ้นเครื่องบิน

รอบนี้เป็นขากลับจากเกาหลีคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เนื่องจากวันจันทร์ต้องทำงานแต่เช้า มีชั่วโมงผ่าตัด และไฟลท์บินถึงกทม.ตีหนึ่ง เราเลยจองที่นั่งเป็น J class จะได้นอนเอนหลังหลับยาวๆ ตื่นมาสดใส ตื่นหกโมงเช้า ไปไถนาต่อได้ 555

เหตุการณ์เกิดก่อนเครื่องลงประมาณ สองชั่วโมงครึ่ง เรากำลังเคลิ้มๆ มองเห็นไฟอ่านหนังสือจ้าๆ ยิงเข้าหน้าจากที่นั่งละแวกนั้น เลยลืมตาขึ้นมาดู เห็นคุณแอร์หลายๆคนกำลังยืนรุมช่วยเหลือใครคนนึงอยู่ ดูผิดสังเกต เลยชะเง้อมองดู เพราะความอยากรู้อยากเห็น เอ้ย เพราะสัญชาตญาณว่าเหมือนจะมีคนป่วย มองเห็นผู้ชายคนนึงสีหน้าไม่ค่อยดี นอนอยู่ตรงกลางนั้น เลยรีบลุกไปถาม ว่าต้องการความช่วยเหลืออะไรไหม หลังจากนั้น ข้าพเจ้าก็ไม่สามารถนอนหลับอีกเลยจนกระทั่งลงเครื่องค่ะ

ผู้ป่วยเป็นชายอายุ 25-35 ปี มีอาการแน่นหน้าอกหายใจไม่ออก ใจเต้นแรง และหนาว รู้มือเย็นเท้าเย็น เวียนศีรษะเล็กน้อย ผะอืดผะอม แต่รู้ตัวรู้เรื่องดี คุณแอร์โฮสเตสเลยย้ายที่นั่งจาก economy มา business class

การหายใจไม่ออกของคนไข้ทำให้เรารู้สึกกังวลและนึกถึง cardiac หรือ pulmonary condition ซึ่งถ้าเป็นแบบระดับรุนแรง จะทำการช่วยเหลือได้อย่างไรบ้าง ความรู้ตอนนี้มันห่างไกลจากการทำงานห้องฉุกเฉินไปแล้ว


ตอนนั้นเรียกหาอุปกรณ์ช่วยเหลือ เครื่องวัดความดัน ชีพจร stethoscope และกล่องยา อุปกรณ์ฉีดยาของบนเครื่องบิน ให้ช่วยเอามาให้ดู 

ซักประวัติและประเมิน general exam ของคนไข้ไปด้วย อืมๆ ไม่มีโรคประจำตัว ไม่ค่อยได้ขึ้นเครื่องบิน ไม่เคยแพ้ยาแพ้อาหาร ดื่มไวน์ไปสองแก้ว แต่ปกติเคยดื่มมากกว่านี้ บลาๆๆ ขอสงวนรายละเอียดอันมากมายไว้ ระหว่างนั้นก็ให้ออกซิเจน ปรับระดับออกซิเจน วัดความดันคนไข้พุ่งพรวดๆ 220/150 กว่าๆ (เอ มี hypertensive emergency หรือเปล่า โชคดีที่ repeat ซ้ำแล้วลดลง และหลังจากนั้นไม่สูงอีกเลย)

คุณพี่ เพอร์เซอร์ มาบอกว่า กัปตันฝากมาถามว่าจะให้เอาเครื่องลงจอดฉุกเฉินหรือไม่ จังหวะนั้น คิดหนัก เพราะยังไม่รู้ว่าเค้าเป็นอะไร ต้องตรวจดูก่อน แน่นอนว่าเรื่องนี้ถ้าตัดสินใจผิดพลาด คนไข้เดือดร้อนแน่ๆ แต่ถ้าตัดสินใจโอเวอร์เกินไป คนบนเครื่องอีกเป็นร้อยๆ คงลำบาก ที่จะไม่ได้ไปทำงานวันจันทร์ (รวมถึงเราด้วย) เราตอบว่าขอลองรักษาดูก่อน เดี๋ยวรีบบอกนะ

มันเป็น moment ที่เชื่อว่า คนที่จบ subspecialist ที่ไม่เกี่ยวข้องกับ Med คงเครียดมากๆ แบบที่เราเป็น แต่ก็ตั้งสติ ถามตัวเองว่า เราเรียบจบพบ. มา ต้องทำได้ไม่แย่กว่า พบ. ใช่ไหมแก เราเริ่มตรวจคนไข้ตามระบบ ประเมินไปทีละอย่าง ตัดวินิจฉัยแยกโรคมา สองสามอย่าง

 สรุปว่านึกถึง alcohol intoxication with hypoglycemia (ไม่มีเครื่องวัดระดับน้ำตาลบนเครื่องบิน แต่ดูจากประวัติอาการ และ อาการแสดง) หรืออาการแพ้ เลยลองให้ดื่มน้ำหวาน กินยาแก้แพ้ แต่คนไข้บอกว่าดื่มไม่ไหว คลื่นไส้ เราเลยต้องฉีดยาเข้าไป

พูดถึงฉีดยาเข้าเส้นเลือด หลายๆคนคงนึกว่าเป็นเรื่องปกติที่หมอทำได้ บอกเลยว่าคุณพยาบาลทำได้ดีกว่ามากๆ พวกเราไม่ได้ฉีดยาในคนกันเลย ตั้งแต่ตอนเรียน อย่างมากตอนเรียนคือฉีดยาใส่ผักบุ้งที่ฝังใต้ซิลิโคน และผลัดเจาะเลือดเพื่อนนักศึกษาด้วยกัน แต่การเปิดเส้นฉีดยาเข้ากระแสเลือด โดยเฉพาะบนเครื่องบินนั้นมันช่างบีบหัวใจเรามาก คือให้ทำคลอดบนเครื่องบินยังง่ายกว่า 555

แต่เสี้ยววิตอนนั้นบอกตัวเองว่า หยุดกังวลค่ะ ถ้าแกไม่ทำก็ไม่มีใครทำได้แล้วในตรงจุดนี้

ขั้นตอนการหาเส้น ไม่ง่าย เพราะคนไข้ตัวใหญ่ หาเส้นหนาๆยาก แต่ใช้สายรัดต้นแขนพอช่วยได้อยู่ยาตัวแรกที่ฉีดคือ 50% glucose 10 ml เชื่อไหมหลังฉีด dose แรกในหนึ่งนาที สัญญาณชีพ ชีพจร เริ่มจะปกติ คนไข้ดีขึ้นแบบ dramatically รู้สึกดีใจกว่าสอบผ่าน ให้กินยาแก้แพ้ไปด้วย

หลังจากคนไข้ดีขึ้น เราเลยย้ายที่นั่งมานั่งฝั่งใกล้ๆเค้า Monitor สัญญาณชีพไปจนเครื่องแลนด์

จบทริป คุณแอร์มายืนขอบคุณมากๆ คนไข้ก็ไหว้ขอบคุณเราจนเรารู้สึกเขินเพราะไม่ได้ทำอะไรมาก คนอื่นน่าจะทำได้ดีกว่าเราเสียด้วยซ้ำ จบแบบแฮปปี้ เอนดิ้ง

กลับบ้านอย่างมีความสุข หัวใจพองโต

หมอสูติฯเล่านาทีระทึก ช่วยชีวิตคนบนเครื่องบิน

ขอแจ้ง tip and tricks เผื่อเป็นประโยชน์นะคะ
1. คนป่วยอยู่ใกล้ตัวเรามากๆ เกิดมาเป็นหมอ ก็ต้องสังเกตและพร้อมช่วยคนข้างๆทุกสถานการณ์จริงๆนะ แม้แต่บนเครื่องบิน นี่กลับมาทวน CPR guideline ต่อเลย

2. คอยไปเล่น ไปศึกษาถังออกซิเจนและอุปกรณ์เชื่อมต่อ ถึงเวลาเราจะได้เชี่ยวชาญว่าต่ออะไรยังไง เปลี่ยนหัวแก๊สตรงไหน นี่ก็งมอยู่กะคุณแอร์กว่าจะเปลี่ยนจาก 2 LPM เป็น 4 LPM

3. high touch, low tech ให้เป็น (stethoscope บนเครื่อง เสียงไม่ชัดเลย อุปกรณ์ก็จำกัด ไม่เหมือนบนดินอะ พอนึกออกเนอะ)

4. ซักประวัติ ตรวจร่างกายตามระบบไป ทุกคนทำได้ค่ะ วินิจฉัยมันมาเอง ถึงจะไม่ตรง 100% และก็ต้อง manage ให้เร็วด้วยจริงๆ airway-breathing-circulation วนไป

5. อย่ากลัวที่จะเปิดเส้น มันอยู่ในสายเลือด ต้องเชื่อว่าจะทำได้นะคะ

6. แอลกอฮอล์ ดื่มบนเครื่องจะเมาง่ายมากนะคะ ความกดอากาศบนเครื่องต่ำด้วย อย่าดื่มกันเยอะเน้อ และอย่าดื่มกันเร็ว

คำกล่าวที่ว่า "Doctors should be ready for in-flight problems" จริงยิ่งกว่าจริง ถึงจะเป็นไฟลท์(ที่ตั้งใจมา)นอนไม่ได้นอน แต่ดีใจที่ได้เป็นหมอครั้งที่เท่าไรก็ไม่รู้"

หมอสูติฯเล่านาทีระทึก ช่วยชีวิตคนบนเครื่องบิน

เครดิตแหล่งข้อมูล : FB Artitaya Singwongsa
เรียบเรียง : ทีมงาน Teenee.com

หมอสูติฯเล่านาทีระทึก ช่วยชีวิตคนบนเครื่องบิน

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
ตามข่าวteenee.com จาก LineToday เข้าไปคลิ๊กกดติดตามได้เลย
กระทู้เด็ดน่าแชร์