สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า คุณแม่ของฉันเสียไปเมื่อตอนที่อายุได้ 9 ปี กำลังเรียนอยู่ชั้นป.3 เหตุเพราะว่าเพื่อนบ้านมาหาเรื่องทะเลาะเบาะแว้งด้วย แม่จึงกลับเข้าบ้านพร้อมขอให้พ่อช่วยไปออกหน้าแทนหน่อย เพราะแม่เถียงพวกเขาไม่ไหว แต่พ่อกลับปฏิเสธแม่อย่างไม่ใยดี เรื่องครั้งนี้ก็จบไป พอครั้งที่ 2 เพื่อนบ้านก็มาหาเรื่องอีก คราววนี้แม่เครียดจัด จึงแอบกินยาฆ่าตัวตาย วันนั้นเองเป็นวันที่มึดมนสำหรับฉันมากที่สุด เพราะคนทั้งบ้านมารวมตัวกันที่โรงพยาบาล ขณะที่หมอกำลังช่วยชีวิตแม่อยู่ พ่อเดินไปเดินมาหน้าห้อง นั่งไม่อยู่ ส่วนตากับยายก็ได้แต่ด่าว่าพ่อ ปู่กับย่า ก็นั่งอีกฝั่งไม่พูดไม่จา สุดท้ายหมอเดินออกมาด้วยสีหน้าเศร้าพร้อมบอก
ข่าวร้ายว่า "ผมเสียใจด้วยครับ ผู้ป่วยมาถึงโรงพยาบาลช้าไป ทำให้ไม่สามารถช่วยชีวิตได้ทันเวลา"
เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้นก็เสียใจ ตากับยายแทบเป็นลมล้มลงกับพื้น หลังจากนั้นตากับยายก็ได้พาลุงไปหาเพื่อนบ้านที่ทะเลาะกับแม่ เพื่อเรียกร้องให้ชดใช้ พร้อมกับเรียกตำรวจไปด้วย เพื่อนบ้านไร้เหตุผลแถมยังทำร้ายร่างกายตำรวจอีกด้วย สุดท้ายเพื่อนบ้านก็ต้องจำนนให้ค่าชดใช้ เงินทั้งหมดตากับยายเอาไปหมดเลย ถือว่าเรื่องหายกัน แต่พ่อกับฉันยังคงเสียใจไม่หาย ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ฉันกลายเป็นเด็กที่ไม่มีแม่อีกต่อไป
หลังจากนั้น 4 ปี ฉันและพ่อต้องลำบากมากขึ้นเพราะรายได้ทั้งหมดมาจากพ่อคนเดียว จึงมีคนเป็นแม่สื่อหาหญิงแม่ม้ายคนหนึ่งมาให้พ่อ พ่อกับเธอเข้ากันได้เป็นอย่างดี วันหนึ่งพ่อจึงมาถามว่า "อยากได้แม่ใหม่ไหม?" ฉันตอบไปว่า "ไม่" แต่ตอนหลังปู่กับย่าก็เดินมาพูด เกลี้ยกล่อมว่า "ปกติพ่อของหนูต้องทำงานหนัก ไม่มีเวลาดูแลหนู ส่วนย่าก็คงอยู่ได้ไม่นาน ใครจะทำกับข้าวให้หนูกิน? ย่าแก่มากแล้วตอนนี้ก็เริ่มไม่ไหว เพราะฉะนั้นหาแม่ใหม่ให้หนู คอยดูแลหนูดีไหม?" หลังจากที่ฉันนั่งคิดอยู่หลายวัน สุดท้ายฉันก็ตอบตกลง ทั้งสองแต่งงานกัน
วันนั้นที่ฉันสอบปลายภาคเสร็จ พอกลับถึงบ้าน เห็นแม่เลี้ยงทำกับข้าวเต็มโต๊ะเลย ทุกคนดู ครึกครื้นมาก ทั้งปู่ย่า กับตายายก็ดูมีความสุขมาก แม่เลี้ยงคนนี้เป็นคนดีจริงๆ เขาทำให้ทุกคนยิ้มได้ โดยเฉพาะพ่อที่หลังจากแม่ตายก็ไม่เคยยิ้มอีกเลย แต่เมื่ออยู่กับแม่เลี้ยงเขาก็ยิ้มมีความสุข แม่เลี้ยงก็ดีกับฉันมาก
วันหนึ่ง จู่ๆย่าก็เดินมาถามฉันว่า "อยากได้น้องชายสักคนไหม?" ฉันตอบไปว่า "ไม่ หนูไม่เอา ถ้าแม่ (แม่เลี้ยง คลอดน้องอีกคน พวกเขาก็จะไม่รักหนูอีก เพราะหนูไม่ใช่ลูกแท้ๆของเขา)" พอดีแม่เลี้ยงมาได้ยินเข้า ก็เลยเข้ามากอดแล้วพูดว่า "ผิงผิง (ชื่อของฉัน) แม่ไม่คลอดน้องอีกคนแล้ว ชีวิตนี้แม่มีผิงผิงคนเดียวก็พอแล้ว เพราะหนูก็คือลูกสาวคนเดียวของแม่ตลอดไป" จากนั้นแม่เลี้ยงก็หันไปพูดกับย่าว่า "แม่คะ หนูทราบดีว่าแม่หวังดีกับหนู แต่ต่อจากนี้ไปอย่าไปถามผิงผิงแบบนี้อีกนะคะ เธอก็คือลูกสาวของหนู จะไม่มีลูกคนไหนมาแทนที่ผิงผิงได้" ตอนนั้นฉันอายุ 14 ปีแล้ว ฉันจดจำเหตุการณ์และคำพูดของทั้งสองคนได้อย่างแม่นยำ ทำให้ฉันยิ่งรักแม่เลี้ยงคนนี้มากขึ้น
แต่นึกไม่ถึง หลังจากนั้น 1 ปี พ่อก็ป่วยเป็นมะเร็วปวด หลังจากรักษาอยู่นานก็ไม่หาย พ่อจึงถอดใจ ไม่อยากรักษาต่อ บอกว่าจะเก็บเงินไว้ให้ฉันเรียนต่อ สุดท้ายพ่อก็มาจากฉันไปอีกคน ตอนนั้นฉันเสียใจมาก เพราะต่อแต่นี้ไปฉันก็จะไม่มีทั้งพ่อและแม่ ฉันคิดว่าถ้าพ่อตายแล้ว แม่เลี้ยงคงต้องหนีจากฉันไปแน่ๆ
แต่วันที่ฝังพ่อนั้น แม่เลี้ยงกลับกอดฉันไว้แน่นและพูดว่า "ผิงผิง อย่าเสียใจไปเลยนะ พ่อไปสบายแล้ว ต่อไปนี้ต้องตั้งใจเรียน แม่จะทำงานหาเงินเลี้ยงหนูเอง" ฉันก็กอดแม่เลี้ยงร้องไห้ด้วยกัน แม่เลี้ยงหางานบริการ ทำไป 1 ปี ซึ่งตอนนั้นฉันกำลังจะสอบเพื่อเข้าเรียนต่อชั้นมัธยมปลายพอดี แม่เลี้ยงนอกจาก ทำงานแล้วยังทำอาหารให้ฉันทุกวัน บางครั้งปู่ย่าก็มาช่วยบ้าง ย่าพูดเสมอว่า "ต่อไปโตขึ้นต้องดีกับแม่เลี้ยงมากๆนะ เธอไม่ยอมมีบุตร ไม่ยอมไปแต่งงานใหม่ ทำงานหนักเพื่อให้หนูได้เล่าเรียน" ฉันได้แต่ก้มหัวและขอบพระคุณแม่เลี้ยงด้วยใจ
หลังจากนั้นฉันชอบติดโรงเรียนมัธยมปลาย ต้องนอนหอพักของโรงเรียน แม่เลี้ยงพาฉันไปถึงที่โรงเรียน จัดเตียงนอนให้ฉัน กล่าวคำอวยพรและตักเตือนฉันมากมาย จากนั้นก็เดินทางไปทำงานต่อ เพื่อหาเงินให้ฉันได้เล่าเรียน 3 ปีจนจบ พวกเราพบหน้ากันปีละครั้งเท่านั้น ก็คือช่วงตรุษจีน ตอนกลับไปบ้านของแม่เลี้ยง แต่ความสัมพันธ์ของเรานับวันยิ่งแน่นแฟ้นขึ้น หลังจากที่ฉันสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ แม่เลี้ยงก็ยังคงทำงานหาเลี้ยงฉัน
ช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อนของปี 2 แม่เลี้ยงก็ต้องกลับบ้านเกิดที่บ้านนอก เพราะร่างกายทำงานหนักจนสุขภาพไม่ดี ไม่สามารถทำงานต่อได้ หลังจากที่กลับบ้านนอกเธอก็ได้เปิดร้านขายของชำเล็กๆที่หมู่บ้าน แม่เลี้ยงยังบอกอีกว่าค่าเล่าเรียนทั้งหมดไม่ต้องเป็นห่วง แม่ได้เก็บไว้เรียบร้อยแล้ว ตอนนั้นเองฉันก็ทำงานเป็นคุณครูสอนพิเศษให้นักเรียนมัธยม ได้เงินบ้าง หลังจากเรียนจบ ฉันก็มีงานที่ชอบทำ แม่เลี้ยงดีใจมาก
ทุกครั้งที่ฉันเอาเงินให้ แม่เลี้ยงก็จะไม่รับพร้อมพูดเสมอว่า "เงินเก็บไว้ใช้เอง แค่กลับมาเยี่ยมแม่บ้างก็ดีใจแล้ว วันไหนหากจะแต่งงานอย่าลืมบอกแม่นะ เพราะแม่ได้เตรียมชุดประดับเครื่องทองให้เรียบร้อยแล้ว แต่งงานต้องมีของมีค่าเหล่านี้ ไม่งั้นพ่อแม่ฝ่ายชายจะรังแกเราได้"
เมื่อได้ยินคำพูดของแม่เลี้ยง ทำให้ฉันตัดสินใจที่จะรับแม่เลี้ยงไปอยู่ด้วยยามแต่งงานแล้ว และเมื่อวันนั้นมาถึงฉันก็ปรึกษากับแฟน เรื่องที่จะพาแม่เลี้ยงเข้ามาอยู่อาศัยในบ้านเดียวกัน แฟนของฉันก็ตกลง
ในตอนแรกที่เรามารับแม่เลี้ยงไปอยู่ด้วย เธอไม่ยอมไป แต่หลังจากเกลี้ยกล่อมอยู่นาน สุดท้ายก็ตอบตกลง ฉันรู้ว่าในใจลึกๆของแกแล้วอยากมาอยู่กับเรา แต่เพราะกลัวจะทำให้เราลำบากที่ต้องดูแลคนแก่
หลังจากที่แม่เลี้ยงตัดสินใจไปกับฉัน เธอก็ได้โอนร้านขายของชำนี้ให้กับหลานชายของเธอ หลานชายคนนั้นเมื่อพบหน้าเราครั้งแรก ก็รีบเดินเข้ามาแล้วพูดเบาๆว่า "ในชีวิตนี้แม่เลี้ยงของเธอต้องผ่านเรื่องเลวร้ายมามาก ในช่วงวัยรุ่นโดนพ่อแม่สามีไล่ออกจากบ้านกลางดึก เหตุผลเพราะเธอไม่สามารถมีลูกได้ โดนไล่ออกมากลางดึกไม่พอ ยังไม่ให้เอาอะไรออกมาอีกด้วย ตอนนั้นเป็นฤดูหนาว เวลากลางคืนหนาวมากรู้ไหม หลังจากที่แต่งงานกับพ่อของเธอก็รักเธอเหมือนลูกแท้ๆ เธอจะต้องรักแม่เลี้ยงคนนี้ให้มากรู้ไหม" ตอนนั้นฉันอึ้งไปสักพัก "เธอไม่สามารถมีลูกได้? ที่แท้แม่เลี้ยงโกหกฉันในช่วงตลอดเวลาที่ผ่านมา"
ในตอนนั้นฉันไม่ได้แสดงออกอะไรมาก ในตอนที่นั่งรถไฟกลับบ้านใหม่ที่ฉันและแฟนซื้อด้วยกัน อีกไม่กี่วันฉันก็จะแต่งงานแล้ว ตอนนี้ฉันไม่มีญาติเหลือเลย แม้แต่คนเดียว ญาติคนสุดท้ายก็คือแม่เลี้ยงคนนี้
ในวันแต่งงานแม่เลี้ยงเอาบัตร ATM ให้ฉัน 1 ใบบอกว่าเงินจำนวนเก็บไว้เพื่อจะซื้อชุดเครื่องประดับทองคำให้ฉันเพื่อเป็นของขวัญแต่งงาน บอกให้ฉันสั่งทำสร้อยทองหลายๆเส้น วันงานจะได้มีหน้ามีตา ตอนนั้นฉันไม่รับไว้ ตั้งแต่ที่ฉันรู้ความจริง ภาพพจน์ที่ฉันเคยเห็นของแม่เลี้ยงก็เปลี่ยนไป ในใจฉันคิดเสมอว่า แม่เลี้ยงเป็นคนโกหกหลอกลวง จิตใจของฉันตอนนี้สับสนมาก อีกใจก็รู้สึกขอบพระคุณ แต่อีกใจก็คิดเสมอว่าเธอหลอกลวงฉันตอนนี้ฉันรู้สึกว้าวุ่นใจมาก ไม่รู้จะทำอย่างไงต่อดี?