เมื่อไม่นานมานี้เว็บไซต์ต่างประเทศได้เปิดเผยเรื่องราวพ่อกับแม่เกษียณออกมาจากราชการได้สักพักก็ล้มป่วยลง ตอนแรกฉันแต่งงานย้ายมาอยู่ในเมืองกับสามี แต่พอรู้ว่าพ่อแม่ไม่สบาย ฉันจึงต้องรับท่านมาอยู่ด้วย เพราะความเป็นห่วงกลัวว่าจะไม่มีใครดูแล เพราะน้องชายก็ทำงานอยู่อีกเมืองหนึ่ง
สามีของฉันก็เห็นด้วย สามีบอกว่าพวกท่านก็แก่แล้ว ถ้าจะปล่อยให้อยู่กันเองลำพังที่บ้านนอกก็น่าเป็นห่วง จึงบอกให้ฉันไปรับทั้งสองมาอยู่ด้วยกันนี่แหละ ฉันขอบคุณสามีมากที่รักพ่อแม่ของฉัน เขาไม่เคยรังเกียจ แถมยังช่วยดูแลพ่อแม่ที่ป่วยของฉันอย่างดี
ตลอดเวลาที่พ่อแม่ป่วยน้องชายกลับมาเยี่ยมแค่ครั้งเดียวแล้วก็ไปทำงานต่อในวันถัดไป ฉันเข้าใจว่าน้องคงมีงานหนักไม่สามารถปลีกตัวมาได้ แต่มันก็น่าน้อยใจแทนพ่อแม่จริงๆ
ผ่านไปเกือบ 2 ปีที่ฉันดูแลพ่อแม่มาตลอด จนวันนี้พ่อป่วยหนักจนจากพวกเราไป แม่จึงเรียกให้ทนายมาเซ็นเอกสาร จัดการพินัยกรรมของพ่อ เมื่อทนายเปิดออกอ่านให้ทุกคนฟัง พ่อยกทรัพย์สินทุกอย่างให้กับน้องชาย ฉันฟังแล้วน้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ฉันไม่เข้าใจว่าการที่พ่อทำแบบนี้ ไม่คิดว่าจะทำให้ฉันรู้สึกน้อยใจบ้างหรือ
สามีจึงพาฉันเดินออกจากห้องมาก่อน สามีกอดฉันเอาไว้แล้วให้กำลังใจบอกกับฉันว่า ไม่เป็นไรคุณเป็นลูกที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา ความดีที่คุณทำมาจะต้องทำให้เราพบเจอแต่สิ่งดีๆ ฉันฟังแล้วสบายใจขึ้นมาบ้าง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะไปถามแม่ว่าทำไมพ่อถึงทำแบบนี้ แม่ตอบกลับมาทำเอาฉันยิ่งเสียใจเข้าไปอีก แม่บอกว่า น้องชายใช้นามสกุลของตระกูลเรา แต่ลูกสาวแต่งออกไปแล้วก็เป็นคนอื่น ถูกแล้วที่พ่อยกทุกอย่างให้กับน้องชาย เพราะเขายังเป็นคนของตระกูลเราอยู่ ฉันไม่เข้าใจความคิดแบบนี้เลยจริงๆ เพียงแค่ฉันเกิดเป็นผู้หญิงก็ไม่มีค่าเทียบเท่าน้องชายงั้นหรือ
จากวันนั้นสามีของฉันส่งแม่กลับไปบ้านนอก ฉันรู้ว่ามันอาจจะดูเห็นแก่ตัว แต่สามีและฉันก็รับไม่ได้กับสิ่งที่เราได้รับเช่นกัน ฉันคิดว่าน้องชายน่าจะได้ทำหน้าที่ของลูกบ้าง จากนี้ไปขอให้น้องชายได้ดูแลแม่แทนฉัน เพราะฉันถือว่าฉันทำหน้าที่ลูกได้ดีที่สุดแล้ว ถึงแม้ว่าตลอดเวลาฉันไม่เคยหวังว่าจะได้รับอะไรตอบแทน แต่สิ่งที่พ่อแม่ทำทำให้ฉันรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมเลย