จากกรณีที่ นายพิเชษฐ ตัญกาญจน์ และนางสุกัลยา ตัญกาญจน์ ร้องสื่อมวลชนว่าลูกชายคือ นายภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือ น้องเมย นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 ที่เสียชีวิตเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2560 และมีการจัดพิธีฌาปนกิจไปแล้วเมื่อวันที่ 24 ต.ค. 2560 ที่ผ่านมา แต่ทางครอบครัวสงสัยสาเหตุการตายของลูกชาย ที่ได้ใบมรณบัตร ยืนยันการเสียชีวิตว่า เกิดจากภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน แต่อวัยวะภายในร่างกายทั้งหัวใจ กระเพาะ ตับ ปอด และสมอง กลับหายไป
ล่าสุด วันนี้ (21 พ.ย.60) พล.อ.ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) ได้ออกมาเปิดเผยถึงเรื่องราวดังกล่าวว่า ได้สั่งการไปยังเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องให้เร่งดำเนินการสืบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ พร้อมยืนยันว่า ทางหน่วยงานจะให้ความเป็นธรรม และจะเร่งประสานไปยังโรงเรียนเตรียมทหาร สังกัดของผู้เสียชีวิต เพื่อขอรายละเอียดของเหตุการณ์ดังกล่าว พร้อมทั้งจะดำเนินการชี้แจงข้อมูลให้สังคมได้รับทราบโดยเร็วที่สุด ตามที่มีรายงานไปแล้วนั้น
ทางด้าน นายพิเชษฐ พ่อของน้องเมย เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาลูกชายไม่เคยเล่าอะไรเกี่ยวกับระบบของโรงเรียน ช่วงที่ไปเรียนลูกชายดูมีความสุขดี แต่ก่อนเกิดเหตุ 1 สัปดาห์ น้องเมยเคยพูดว่า "อย่าไปเชื่อผู้พัน" โดยไม่ได้อธิบายอะไรต่อ เมื่อตนถามน้องเมย กลับพูดติดตลกว่า "บอกไม่ได้เป็นความลับทางราชการ"
พ่อน้องเมย เปิดเผยอีกว่า หลังลูกชายถูกลงโทษจนเข้าโรงพยาบาลใน วันที่ 23 ส.ค. พบว่าลูกเข้ากองแพทย์บ่อยครั้งเช่น หลังเรียนเสร็จช่วงเช้า ช่วงบ่ายเข้ากองพยาบาล ไม่ได้กลับกองพัน ส่วนนี้ยังเป็นประเด็นที่ตนสงสัย ว่าเหตุใดลูกชายไม่กลับกองพัน และต้องเข้ากองพยาบาลที่อนุญาตเฉพาะผู้ป่วยทุกวัน
นายพิเชษฐ บอกอีกว่า สาเหตุที่ต้องนำศพน้องเมย ไปผ่าพิสูจน์เองอีกรอบ เพราะมีหลายประเด็นที่มีกระแสข่าวออกมาทั้งน้องเมย อ่อนแอ มีโรคประจำตัว และถูกพ่อแม่บังคับให้เข้าเรียน ซึ่งตนไม่เชื่อว่าลูกจะเสียชีวิตจากภาวะหัวใจล้มเหลว
นางสุกัลยา แม่น้องเมย เปิดใจว่า ครั้งสุดท้ายที่ลูกโทรศัพท์มาหาเมื่อ วันที่ 17 ต.ค. ลูกชายปรึกษาว่าอยากลาออก วินาทีนั้นรู้สึกตกใจมาก เพราะก่อนหน้านี้เมื่อ วันที่ 23 ส.ค. ที่ลูกชายถูกลงโทษวินัย ตนเคยบอกให้ลูกชายลาออก เพราะรับสภาพลูกถูกทรมานไม่ได้ แต่น้องเมย ยืนยันว่าจะขอเรียนต่อ ซึ่งตนเองก็เคารพการตัดสินใจของลูก และยอมรับว่า ตนเองเคยเข้าไปที่โรงเรียน เพื่อสอบถามผู้บังคับการกองพัน จึงได้รับคำอธิบายว่า "จะลงโทษรุ่นพี่ที่สั่งลงโทษลูกชายตน" ส่วนสาเหตุที่ลูกชายชอบไปอยู่กองแพทย์ ผู้พันเคยคำตอบว่า "ไม่มีอะไร และให้ปล่อยวาง" ตนจึงตัดสินใจที่จะปล่อยวาง
ขณะเดียวกัน นางสุกัลยา เปิดใจทั้งตาว่า "การปล่อยของตน กลับเป็นการปล่อยให้ลูกไปตาย ทุกวันนี้ รู้สึกโทษตัวเองทุกวัน เพราะหวังว่า ทางโรงเรียนจะดูแลลูกชาย รวมถึงคำสัญญาว่าจะดูแลลูกให้ดี แต่ลูกตนกลับเสียชีวิต" โดยหลังลูกชายเสียชีวิต ตนไม่ได้สอบถามทางผู้พันแต่อย่างใด เพราะไม่อยากฟังคำแก้ตัว
แม่น้องเมย ยอมรับว่า หากลูกชายเรียนจบไปเป็นทหาร และออกรบรับใช้ชาติจนเสียชีวิต จะไม่เสียใจเลยที่ลูกตายในหน้าที่ แต่การตายลักษณะนี้ตนรับไม่ได้ เพราะลูกยังเด็ก จึงอยากถามว่า "นำลูกตนไปฝึกอะไร จึงออกมาเป็นแบบนี้"
ส่วนตัวไม่ได้อยากทำให้โรงเรียนเสื่อมเสียชื่อเสียง แต่อยากให้ผู้ที่เกี่ยวข้องออกมาแสดงความรับผิดชอบ เพราะหากไม่ออกมา เชื่อว่าปีต่อไปต้องมีเด็กเสียชีวิตอีก สาเหตุที่ออกมาเรียกร้อง เพราะลูกชายเคยบอกว่า ทุกคนต้องตาย แต่ตายแล้วจะเหลืออะไร เอาไว้ให้คนข้างหลัง
ด้าน น.ส.สุพิชา ตัญกาญจน์ อายุ 23 ปี พี่สาวของน้องเมย เปิดเผยว่า ตนเป็นผู้นำร่างของน้องชาย ไปผ่าชันสูตรรอบที่ 2 และได้เข้าไปสังเกตการณ์ ตอนที่แพทย์ผ่ากะโหลกศีรษะน้องชาย ต้องตกใจเมื่อพบว่าเต็มไปด้วยกระดาษชำระ ที่ใส่ไว้เพื่อซับเลือด
แพทย์ผู้ผ่าพิสูจน์ บอกให้ตนใจเย็นๆ เพราะบางครั้งการผ่าชันสูตร แพทย์อาจนำอวัยวะที่ตรวจเสร็จสิ้น ใส่รวมกันไว้ที่ช่องท้อง แต่เมื่อผ่าที่ช่องท้อง กลับพบว่า หัวใจ กระเพาะปัสสาวะ และกระเพาะอาหาร หายไป รวมทั้งตรวจพบกระดูกซี่โครงซี่ที่ 4 หัก และมีรอยช้ำภายในช่องท้องด้านขวา ส่วนด้านหลังซีกซ้ายมีรอยช้ำ และไหปลาร้าหักทั้ง 2 ข้าง โดยแพทย์ยังไม่สามารถยืนยัน ถึงสาเหตุอาการบาดเจ็บเหล่านี้ได้
น.ส.สุพิชา ได้วิดีโอคอลพูดคุยในรายการทุบโต๊ะข่าว ออกอากาศเวลา 20.35 น. เพิ่มเติมว่า เช้าวันที่ 16 ต.ค. น้องชายตนถูกธำรงวินัย แต่ตนไม่ทราบว่าน้องได้ไปทำผิดอะไร และได้มีรุ่นพี่ได้พา น้องเมย ไปที่กองแพทย์ โดยมีผู้หวังดีแจ้งให้ตนทราบ ส่วนน้องชายเคยถูกทำธำรงวินัย เมื่อวันที่ 23 ส.ค. จากรุ่นพี่ปี 3 จนต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล สาเหตุการธำรงวินัย เป็นเพราะน้องชายกับเพื่อนอีกคน เดินไปในเส้นทางที่รุ่นพี่ห้ามเดิม ทำให้ถูกลงโทษให้ใช้หัวปักลงพื้นยกขึ้น และหมุนนานเป็นชั่วโมงจนหมดสติ
จากนั้น ตนจึงเดินทางไปยัง โรงเรียนนายร้อยเพื่อรับสภาพโทษให้น้อง แล้วได้รับคำอธิบายจากผู้บังคับการกองพันว่า น้องชายไม่ได้มีความผิด แต่รุ่นพี่ทำผิดที่ลงโทษน้อง ในท่าต้องห้าม ทำวินัยในสถานที่ไม่ถูกต้องคือ ห้องน้ำทหาร และทำวินัยนอกเหนือเวลาที่กำหนด คือหลัง 22.00 น.
หากถามว่า ตนเคยขอดูกล้องวงจรปิดที่สถานที่เกิดเหตุ เพื่อขอดูภาพการธำรงวินัยของ น้องเมย หรือไม่นั้น น.ส.สุพิชา บอกว่า ตนไม่เคยขอดู แต่ทางผู้บัญชาการโรงเรียนเตรียมทหาร บอกว่า ช่วงเช้าวันที่ 16 ต.ค. ที่มีผู้สั่งให้ น้องเมยธำรงวินัย มีกล้องวงจรปิดอยู่ และทางผู้บัญชาการได้มีการตั้งคณะสอบภายในเสร็จสิ้นแล้ว แต่เอกสารจะได้ภายในสัปดาห์หลังจากเกิดเรื่อง แต่จนถึงขณะนี้ตนยังไม่ได้หลักฐานดังกล่าว
พี่สาวน้องเมย ยอมรับว่า ผู้บังคับการกองพัน เคยบอกตนเองว่า จะทำโทษรุ่นพี่รายดังกล่าว ด้วยการปลดออกจากนักเรียนบังคับบัญชา ซึ่งเป็นตำแหน่งอันทรงเกียรติ แต่ทางครอบครัวไม่อยากให้เป็นแบบนั้น
ทั้งนี้ น.ส.สุพิชา บอกอีกว่า อยากให้ทางกองทัพและผู้ที่เกี่ยวข้องออกมาชี้แจงข้อเท็จจริง เนื่องจากในวันนี้ตนยังได้รับคำตอบไม่ชัดเจน รวมถึงโรงพยาบาลที่นำอวัยวะน้องออกไปจากร่างกาย ซึ่งครอบครัวอยากได้คำอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นเท่านั้น