จากกรณีที่นายพิเชษฐ และนางสุกัลยา ตัญกาญจน์ ได้ร้องสื่อมวลชนว่าลูกชายคือ นายภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือ น้องเมย นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 เสียชีวิตในวันที่ 17 ตุลาคม ที่ผ่านมา หลังกลับเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร เพียง 1 วัน โดยระบุว่าไม่ได้รับคำชี้แจงจากผู้เกี่ยวข้อง ได้รับเพียงใบมรณบัตรชี้แจงสาเหตุการตายจากภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันเท่านั้น
ต่อมาทางกองทัพนั้นก็ได้มีแถลงถึงการเสียชีวิตของ นตท.ภคพงศ์เป็นการตายที่ผิดธรรมชาติ จากการตรวจภายนอกไม่พบบาดแผลประทุษกรรมใดๆ จึงต้องผ่าตรวจภายใน พบซี่โครงซีกที่ 4 หัก มีรอยช้ำของกล้ามเนื้อหน้าอกด้านขวาและอกซ้าย ซึ่งไม่ตอบโจทย์ว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้เสียชีวิตได้อย่างไร จึงต้องตรวจทางกล้องจุลทรรศน์เพิ่มเติม จึงต้องเก็บอวัยวะ ซึ่งโดยปกติการเก็บอวัยวะจะสุ่มเก็บในขนาดเท่ากับหัวแม่มือหรือครึ่งหนึ่งของอวัยวะ แต่ในกรณีที่เสียชีวิตอย่างผิดธรรมชาติและไม่ทราบสาเหตุ ทางการแพทย์มักเก็บสมองและหัวใจ ซึ่งในทางกายภาพสมองจะนิ่ม ซึ่งหากทำไม่ดีอาจจะเละ จึงต้องฉีดฟอร์มาลีนให้แข็ง ขั้นตอนการฉีดฟอร์มาลีนจึงเก็บสมองและหัวใจไว้ทั้งอวัยวะก่อนจะนำมาทำสไลด์ส่องกล้องจุลทรรศน์
ทั้งนี้ น.ส.สุพิชชา ตัญกาญจน์ พี่สาวของน้องเมย ได้เปิดเผยว่า เช้าวันที่ 16 ต.ค. น้องชายตนถูกธำรงวินัย แต่ตนไม่ทราบว่าน้องได้ไปทำผิดอะไร ส่วนกรณีเมื่อวันที่ 23 ส.ค. น้องชายถูกธำรงวินัย จากรุ่นพี่ชั้นปีที่ 3 สาเหตุเพราะน้องชายกับเพื่อนอีกคนเดินไปในเส้นทางที่รุ่นพี่ห้ามเดิน ทำให้ถูกลงโทษให้ใช้หัวปักลงพื้นยกขึ้นและหมุนนานเป็นชั่วโมงจนหมดสติ
ล่าสุด "พ.ท.นพ.ภาคย์ โลหารชุน" หรือ "หมอภาคย์" ผู้บังคับกองพันเสนารักษ์ที่ 3 ได้โพสต์ภาพและข้อความถึงกรณีการทำท่าหัวปักพื้นว่า "คนไทยด้วยกันสามัคคีกันไว้ ในมุมมองทางการแพทย์ ย่อมมีความเป็นห่วงเป็นธรรมดา เพราะท่า "หัวปัก" อาจเป็นอันตรายกับคนที่มีโรคประจำตัว หรือ คนที่ไม่เคยฝึกอาจได้รับบาดเจ็บ กล้ามเนื้อหรือกระดูกต้นคอหากผิดพลาด ในมุมมองของผู้ที่ได้รับการฝึกฝนมา ก็ถือว่าเป็นท่าปกติธรรมดา เพราะกล้ามเนื้อคอได้รับการฝึกฝนมาแล้ว ใครๆก็ทำได้ นานเป็นชั่วโมงก็ยังได้
แล้วในระยะยาวพวกรุ่นพี่ที่ผมรู้จักที่ผ่านหลักสูตรรบพิเศษไม่ว่า ทบ. ทร. ทอ. ตร. ที่ผ่านการฝึกท่า หัวปัก มาอย่างโชกโชน จนอายุมาก หรือ เกษียณไปแล้ว ก็ยังไม่เคยได้ยินว่ามีปัญหาสุขภาพจากท่านี้ แต่!ก็ไม่ใช่ว่าจะปลอดภัย 100% ในระยะยาว เพราะหากแก่ตัวไปกระดูกเริ่มเปราะบางอาจงานเข้าก็ได้ หรือ เริ่มมีโรคประจำตัว เช่น ความดัน หลอดเลือดสมอง ยิ่งงานเข้าชิ้นโตเลย ในโลกนี้มีอะไรที่เราไม่รู้อีกเยอะ และไม่มีอะไรแน่นอน ปัจจัยตัวบุคคลแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน
เพราะฉะนั้น!!! ความเห็นและมุมมองมันย่อมแตกต่างกันเป็นเรื่องธรรมดา มันเกิดจากประสบการณ์ที่แต่ละบุคคลสะสมมา
ไม่มีประโยชน์ที่จะไปหาว่าใครถูกใครผิด เพราะผลลัพธ์ที่เกิดกับแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน แต่ไม่ดีแน่หากความเห็นต่างนำมาซึ่งความเบียดเบียน หรือ เกลียดชังกัน สุดท้ายแตกแยกทะเลาะเบาะแว้ง เกิดความเดือดร้อนวุ่นวาย ต่างคนต่างมุมมองคือธรรมชาติของมนุษย์ ยอมรับธรรมชาติข้อนี้แล้วปรับตัวเข้าหากันที่จุดกึ่งกลาง สามัคคีกันไว้ประเทศชาติจะได้สงบสุขและเจริญรุ่งเรือง
***เอาเวลาที่จะดราม่า ไปทำประโยชน์ต่อส่วนรวมแบบ "พี่ตูน บอดี้แสลมดีกว่า แล้วจะค้นพบความสุขที่แท้จริงในจิตใจ แล้วจะภาคภูมิใจไปตลอดกาลนาน