ในขณะที่เราส่วนใหญ่สร้างบ้านเรือนอยู่บนดิน มองขึ้นก็จะเห็นท้องฟ้าในเวลากลางวันและเห็นดวงดาวในเวลากลางคืน แต่รู้มั้ยว่าในโลกนี้มีคนอีกกลุ่มที่หนึ่งอาศัยอยู่ใต้ดิน?
กลุ่มคนที่ว่านี้คือชาวเมือง Coober Pedy พวกเขาอาศัยอยู่ในทะเลทรายทางตอนใต้ของออสเตรเลีย ซึ่งมีอุณภูมิเฉลี่ย 51 องศาเซลเซียสในที่ร่ม จนชาวบ้านกว่า 1,675 คน ต้องสร้างบ้านใต้ดินเพื่อหนีความร้อน
พื้นที่ตั้งของเมือง Coober Pedy เป็นหนึ่งในแหล่งทำเหมืองแร่โอปอลที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งที่นี่จะมีปล่องไฟผุดขึ้นจากพื้นดินเต็มไปหมดและมีหลุมที่เป็นทางเข้าบ้านของพวกเขาด้วย
Coober Pedy เป็นที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งคือ "เมืองหลวงโอปอลของโลก" ซึ่งถูกค้นพบเมื่อช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เนื่องจากมีการค้นพบแร่โอปอลที่นี่ ก่อนที่การทำเหมืองแร่โอปอล์จะกลายเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในปัจจุบันนี้
สำหรับประวัติความเป็นมาของ Coober Pedy อาจต้องย้อนกลับไปในปี 1915 โดยในช่วงต้นของปีนั้น New Colorado Prospecting Syndicate ได้ทำการตรวจหาแร่ทองคำทางตอนใต้ของ Coober Pedy
สมาชิกของกลุ่มคนดังกล่าวประกอบด้วย Jim Hutchison ลูกชายของเขา William Hutchison วัย 14 ปี และเพื่อนร่วมทางอีก 2 คน โดยหลังจากที่ประสบความสำเร็จในการสำรวจ พวกเขาก็ได้ตั้งแคมป์อยู่ที่นั่น
กระทั่งวันที่ 1 กุมภาพันธ์ของปีนั้น ขณะที่ William ออกไปหาน้ำ เขาก็พบโอปอลหลายชิ้นอยู่บนพื้นดิน ซึ่งผลจากการค้นพบครั้งนี้ ทำให้เมือง Coober Pedy ก่อกำเนิดขึ้น
ในช่วงแรกเมือง Coober Pedy ถูกตั้งชื่อว่า Stuart Range Opal Field เพื่อเป็นเกียรติแด่ John McDouall Stuart นักสำรวจชาวสก็อต ซึ่งเป็นชาวยุโรปคนแรกที่ทำการสำรวจพื้นที่นี้ของออสเตรเลียเมื่อปี 1858
กระทั่งปี 1920 สถานที่นี้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Coober Pedy ซึ่งมีความหมายว่า ‘ชาวผิวขาวในหลุม'
นับตั้งแต่การค้นพบโอปอล์ชิ้นแรกของ William ในพื้นที่ Coober Pedy ก็กลายเป็นแหล่งจัดจำหน่ายอัญมณีรายใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งในรายงานที่ตีพิมพ์เมื่อปี 2016 อ้างว่าโอปอลกว่า 70% ของโลก มาจากเมืองนี้ของออสเตรเลีย
ความโดดเด่นของ Coober Pedy คือ ประชากรเกือบทั้งหมดอาศัยอยู่ใต้ดิน...ตอนแรกนั้นคนงานเหมืองที่เดินตามรอย New Colorado Prospecting Syndicate ได้สร้างที่พักอาศัยอยู่บนดิน
พวกเขาพยายามจะปรับตัวให้เข้ากับสภาพอากาสที่ร้อนระอุในเวลากลางวันและเย็นมากๆ ในเวลากลางคืน แต่ก็ไม่สามารถทนอยู่ได้
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็เกิดไอเดียที่จะสร้างบ้านอยู่ใต้ดิน ที่อุณหภูมิค่อนข้างคงที่ มันไม่ร้อนเกินและไม่เย็นเกินไป
ตามแหล่งข่าวบอกว่าไอเดียนี้มาจากเหล่าทหารชาวออสเตรเลียที่กลับมาจากแนวรบด้านตะวันตก หลังสงครามโลกครั้งที่ 1
ทหารผ่านศึกเหล่านี้เคยมีประสบการณ์ในสงครามสนามเพลาะ (หลุมสำหรับซ่อนตัวให้พ้นวิถีกระสุน) และประสบการณ์อื่นๆ ในช่วงสงคราม พวกเขาจึงนำสิ่งเหล่านี้มาปรับใช้กับบ้านใหม่ใน Coober Pedy
ในที่สุดชาวเมือง Coober Pedy ก็กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในการสร้างบ้านใต้ดิน
10 ปีต่อมาความมั่งคัั่งของ Coober Pedy ขึ้นอยู่กับราคาโอปอลในตลาด ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ราคาโอปอลจะตกลงฮวบ จนทำให้การผลิตใน Coober Pedy แทบจะหยุดชะงักไปด้วย
ตรงข้ามกับช่วงปี 1960-1969 ที่มีการอพยพเข้ามาของชาวยุโรป ส่งผลให้อุตสาหกรรมเหมืองแร่โอปอลเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่และเปลี่ยน Coober Pedy ให้กลายเป็นเมืองเหมืองแร่ที่ทันสมัย
แน่นอนว่าการสร้างเมืองใต้ดินของ Coober Pedy ไม่ใช่เรื่องปกติสำหรับคนทั่วไป ดังนั้นมันจึงกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในเวลาต่อมา
นอกจากนี้เมือง Coober Pedy ยังได้รับการโปรโมตในเว็บไซต์ท่องเที่ยวชื่อดังเช่น "Crocodile Harry's Underground Nest" , "Underground Art Gallery" และ "Umoona Opal Mine and Museum" ในฐานะเมืองที่มีความน่าสนใจ
เมื่อกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว Coober Pedy จึงไม่ได้มีแค่บ้านผู้คนอีกต่อไป แต่มีที่พักหรือโรงแรมสำหรับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเยี่ยมชมด้วย
เท่านั้นยังไม่พอ ความพิเศษของเมืองใต้ดินนี้ยังดึงดูดความสนใจของผู้ผลิตภาพยนตร์ โดยหนึ่งในภาพพยนต์ที่เคยมาถ่ายทำที่นี่คือ Mad Max Beyond Thunderdome ปี 1985 นำแสดงโดย Mel Gibson
นอกจากยังมีอีกหลายเรื่องที่มาถ่ายทำในปี 1994 เช่น "The Adventures of Priscilla" , "Queen of the Desert" และ "Top Gear Australia"