เปิดประวัติและอาชีพ คุณพ่อของท่านผู้ว่าฯเชียงราย ที่ตอนนี้กลายเป็นที่รักของคนไทยทั้งประเทศ!
คุณลุงมีลูก 4 คน เป็นผู้หญิงหนึ่งคนผู้ชายสามคน มีหลาน 4 คน เป็นหลานสาวสามคนและหลานชายหนึ่งคน เวลาไปซื้อยา คุณลุงจะเล่าเรื่องลูกหลานให้ฟังด้วยความภาคภูมิใจมากว่าเลี้ยงลูก 4 คน หลาน 4 คน ได้เรียนหนังสือกันดีๆ และจบปริญญาโททุกคน คุณลุงพูดถึงลูกหลานอย่างมีความสุขที่สุด
คุณลุงยิ้มแบบคนใจดี แล้วตอบว่า...
ผมเลี้ยงลูกแบบทหาร เลี้ยงลูกให้มีวินัย เลี้ยงลูกให้เป็นคนดี หลานผมก็เลี้ยงแบบเดียวกัน
ลูกคนโต (ท่านผู้ว่าฯ เชียงราย) เขาบอกว่าป๋า (หมายถึงคุณลุงประสาน) โคตรจะดุและเป็นเผด็จการมาก
ผมดุลูกมาก และให้ลูกมีระเบียบวินัย เพราะผมเคยเป็นทหารมาก่อน
ผมลาออกมาจากทหาร แต่ได้อะไรจากการเป็นทหารเยอะมาก และผมเอาวิธีการฝึกทหารมาใช้เลี้ยงลูกทุกคน ลูกผมจึงได้ดี
นอกจากนี้ผมก็ยังได้วิชาเสนารักษ์มา และชอบและมีความสุขในการช่วยเหลือคนอื่น ขายยานี่มีความสุข เราขายไม่แพง ขายในราคาเป็นธรรม ให้ชาวบ้านที่ยากจนได้เข้าถึงยา ผมยังไม่เลิกขายแม้ลูกๆ บอกให้เลิก เพราะยังมีความสุขกับการได้ช่วยชาวบ้านจนๆ ได้เข้าถึงยา ผมขายไม่แพงนักคุณก็รู้ ผมอยากจะเลิกแต่ลูกค้าบอกว่าอย่าเลิก ผมขายถูกกว่าทุกร้าน เพราะผมไม่ได้อยากจะเอากำไรอะไรมากมาย แต่ผมมีความสุขที่ได้เจอคน ได้ช่วยคน
อะไรที่ถูก ลูกทำถูก ผมชม ผมให้กำลังใจ อะไรที่ผิด ไม่สมควรทำ ผมก็ลงโทษ ผมเข้มงวดแบบมีเหตุผล ต้องมีเหตุผล ไม่ใช่ใช้อารมณ์
ผมไม่ยอมให้ลูกสบาย สอนให้ลูกลำบาก ทำงานทุกอย่าง ลูกสี่คน ต้องทำงานในร้านทุกอย่าง คนโตนี่เขารู้เรื่องยาดีมาก ขายยาแทนได้ จัดของได้ สั่งยาได้ ผมไม่ยอมให้ลูกสบาย
อีกอย่างคือเราต้องทำให้ลูกดูเป็นตัวอย่าง
เราซื่อสัตย์กับลูกค้า เราสอนลูกด้วยการทำให้ดู ผมบอกลูกเสมอว่า เงินหลวงบาทเดียวก็ต้องไม่โกง
ลูกผมโตมาในกรมที่ดิน มีผลประโยชน์เยอะ ข้าราชการในกรมที่ดินทราบดีว่าให้เงินให้ทองลูกผมไม่รับ แต่ถ้าเป็นผลไม้นิดๆ หน่อยๆ ของที่ไม่มีราคาเป็นน้ำใจแก่กัน ผมบอกว่าให้ลูกผมรับ
คุณไปถามในกรมที่ดินได้เลยว่า คนในกรมเขาชมลูกผมเรื่องนี้อย่างไร ผมสอนลูกผมมาแบบนั้น ผมบอกให้ลูกทำแต่สิ่งที่ถูกต้อง ให้ลูกประคองตัว ลูกผมมีหัวหน้ามาหลายคน มีสองคนเข้าคุกไปแล้ว คนหนึ่งเรื่องคดีสนามกอล์ฟอัลไพน์ อีกคนเรื่องการเลือกตั้ง (ละชื่อผู้ถูกพาดพิง และรายละเอียดออกไป โดยผู้เขียนเอง) ผมบอกลูกว่าให้ทำแต่สิ่งที่ถูกต้องเท่านั้น แล้วลูกผมก็เป็นคนโผงผาง ตรงไปตรงมา ไม่กลัวใครเสียด้วย
ร้านขายยาผมเปิดมา 50 ปี ตู้ไม้สักใส่ยาที่คุณเห็นก็ห้าสิบปี ตอนนั้นเงินจะทำตู้ยังไม่มีเลย ค่อยๆ ทำ ค่อยๆ ซื้อ เก็บหอมรอมริบ ผมบอกลูกว่าไม่รวยก็ไม่เป็นไร ขอให้ซื่อสัตย์เท่านั้น
ลูกผมก็อยากให้ผมเลิกขายของ เขาจะดูแลผม แต่ผมยังมีความสุขกับการขายยาและได้ช่วยเหลือลูกค้า
ผมทำบุญตลอด คนขับแท็กซี่สามล้อ เขาลำบากกว่าผมก็ทิปให้ทุกครั้ง ครั้งละ 20 บาท ผมมีความสุขกับการให้และการทำบุญ การช่วยเหลือคนอื่น
ผมสอนลูกว่า จะถูกย้ายไปที่ไหนก็ได้ ลูกเป็นข้าราชการ ไม่ได้ลงทุนอะไรแบบคนอื่นที่เขาวิ่งเต้นเรื่องตำแหน่งด้วยเงินกันเป็นล้านๆ ผมบอกลูกว่ามีเงินก็อย่าทำเช่นนั้น การที่ลูกผมไม่ได้ลงทุนอะไรเลยแล้วเติบโตมาด้วยความสามารถและผลงานทำให้ผมภูมิใจ บอกลูกว่าไปที่ไหนก็ได้ ขอให้ได้ทำงานเพื่อส่วนรวม ได้ตำแหน่งมาเท่านี้ก็ดีมากแล้ว ถือว่าดีกว่าคนอื่นตรงที่ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย (ในการวิ่งเต้นเส้นสาย)
คุณลุงเล่าให้ฟังอย่างมีความสุขที่สุด มีคนเข้ามาซื้อของในร้านตลอดเวลา
แปดเก้าวันนี้ผมเหนื่อยมาก นอนน้อย ดูโทรทัศน์ทั้งวันจนดึกดื่น ห่วงลูก เห็นว่าลูกทำงานหนัก ได้โทรไปคุยกันให้กำลังใจลูกเสมอ ลูกคนอื่นเขาก็มาเฝ้าผมตอนกลางคืน ผลัดกันมา มาอยู่เป็นเพื่อน กลัวผมไม่นอน เพราะตามข่าวลูกคนโตตลอดเวลา
ลองฟังที่คุณลุงคุยกับผมกันนะครับ เผื่อจะเอาไปใช้สอนลูก และเป็นวิธีการในการเลี้ยงลูกได้บ้าง..!!
Cr.Arnond Sakworawich"