เปิดคอมเมนต์ชาวเน็ตจีน คิดอย่างไรเมื่อตกเป็นเป้าสายตาชาวโลก หลังไวรัสอู่ฮั่นระบาด
หน้าแรกTeeNee ข่าวร้อนโลกโซเชียล เป็นข่าว เปิดคอมเมนต์ชาวเน็ตจีน คิดอย่างไรเมื่อตกเป็นเป้าสายตาชาวโลก หลังไวรัสอู่ฮั่นระบาด
กลางเดือนธันวาคม 2019 ที่เมืองอู่ฮั่น มีผู้ป่วย 7 รายที่มีอาการปอดอักเสบ ไอแห้ง มีไข้สูง จนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
ต่อมา ทั่วโลกรู้จักชื่อของไวรัสที่ระบาดอยู่ว่าเป็น ‘ไวรัสโคโรนาตัวใหม่’ ซึ่งมีชื่อทางเทคนิคว่า 2019-nCoV เชื้อชนิดนี้ทำให้ประชาชนในจีนเสียชีวิตไปแล้วเหยียบร้อยราย และติดเชื้ออีกเป็นจำนวนหลายพันคน มากไปกว่านั้น ยังพบผู้ติดเชื้ออีกจำนวนมากในเอเชีย แล้วขยายตัวลามไปยังออสเตรเลีย ยุโรป และสหรัฐฯ จำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ด้านรัฐบาลจีนสั่งปิดเมืองไปทั้งหมด 13 เมืองเพื่อป้องกันการระบาดของเชื้อไวรัส
ในฐานะเป็นจุดกำเนิดเริ่มต้นของการแพร่ระบาด ชาวเน็ตจีนคิดเห็นอย่างไรกับการทำงานของรัฐบาลบ้าง ทั้งเรื่องความปลอดภัย การเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร หรือแม้แต่ประเด็นการกินค้างคาว ซึ่งผู้เชี่ยวชาญระบุว่าอาจจะเป็นสาเหตุของการระบาด
ความคิดเห็นของชาวจีนต่อการกินของแปลก
ในช่วงแรกชาวจีนยังไม่มั่นใจเรื่องการแพร่ระบาดของไวรัสนัก เนื่องจากข่าวสารยังไม่ได้กระจายเป็นวงกว้าง อีกทั้งคิดว่าคำร่ำลือในอินเทอร์เน็ตก็อาจจะเป็นเพียงข่าวหลอก มีการตั้งคำถามใน ‘Zhihu’ ซึ่งเป็นเว็บไซต์คำถามและคำตอบเรื่องความรู้และความเข้าใจในหัวข้อต่างๆ คล้ายกับ Quora ที่ปัจจุบันมีผู้ใช้งานมากกว่า 250 ล้านคนต่อเดือน
โดยมีผู้ตั้งคำถามเกี่ยวกับไวรัส ซึ่งมีทั้งคนเชื่อและคนไม่เชื่อ คำตอบดังกล่าวถูกเขียนขึ้นในวันที่ 25 มกราคม 2020 ตอบโดยผู้ใช้ชื่อว่า 暴躁钢筋直女 ความว่า “บางทีภาพที่มาจากเว่ยป๋อก็เป็นข่าวลือ ฉันไม่เชื่อหรอกนะ แต่ก็ไม่กล้าออกจากบ้าน เห็นคนแชร์วิดีโอร้องไห้เพราะกลัวเยอะแยะ ที่ฉันเชื่อคือเรื่องขาดเสบียง สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือปกป้องตัวเอง เตือนครอบครัวและเพื่อนให้ปกป้องตัวเอง และอย่ารบกวนรัฐบาล!!!!!”
โดยมีผู้ตั้งคำถามเกี่ยวกับไวรัส ซึ่งมีทั้งคนเชื่อและคนไม่เชื่อ คำตอบดังกล่าวถูกเขียนขึ้นในวันที่ 25 มกราคม 2020 ตอบโดยผู้ใช้ชื่อว่า 暴躁钢筋直女 ความว่า “บางทีภาพที่มาจากเว่ยป๋อก็เป็นข่าวลือ ฉันไม่เชื่อหรอกนะ แต่ก็ไม่กล้าออกจากบ้าน เห็นคนแชร์วิดีโอร้องไห้เพราะกลัวเยอะแยะ ที่ฉันเชื่อคือเรื่องขาดเสบียง สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือปกป้องตัวเอง เตือนครอบครัวและเพื่อนให้ปกป้องตัวเอง และอย่ารบกวนรัฐบาล!!!!!”
ช่วงแรกที่ไวรัสระบาด ยังมีคนคิดว่าเป็นข่าวลืออีกมาก ทำให้มีหลายคนแชร์วิธีที่จะบอกให้พ่อแม่ผู้ปกครองครองเชื่อ ด้วยเทคนิคใส่ข้อมูลพร้อมตัดภาพ ‘พระพุทธรูป’ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลงไปให้ดูน่าเชื่อถือ
นอกจากเรื่องข่าวสารที่ถูกนำเสนอและอัปเดตแล้ว ยังมีผู้ตั้งคำถามเรื่องการรับประทานอาหารว่า ทำไมหลายคนถึงชอบกินอาหารป่าแปลกๆ? ผู้ตั้งคำถามอธิบายต่อว่า
ตั้งแต่มีผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ค้างคาวอาจเป็นตัวแพร่กระจายของไวรัส คนก็พุ่งเป้าไปทางใต้ก่อน คืออู่ฮั่น ชาวเน็ตหลายคนก่นด่าชาวใต้ว่า เพราะกินสัตว์ป่าหรืออาหารป่าแปลกๆ แต่ก็ยังมีชาวใต้อีกหลายคนที่ไม่ได้นิยมของแปลก การบอกว่าทุกคนกิน มันฟังดูเหมือนการปรักปรำกัน
ตั้งแต่มีผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ค้างคาวอาจเป็นตัวแพร่กระจายของไวรัส คนก็พุ่งเป้าไปทางใต้ก่อน คืออู่ฮั่น ชาวเน็ตหลายคนก่นด่าชาวใต้ว่า เพราะกินสัตว์ป่าหรืออาหารป่าแปลกๆ แต่ก็ยังมีชาวใต้อีกหลายคนที่ไม่ได้นิยมของแปลก การบอกว่าทุกคนกิน มันฟังดูเหมือนการปรักปรำกัน
ซึ่งผู้ใช้ชื่อ 李秋水 ตอบไว้อย่างน่าสนใจว่า นิสัยการกินสัตว์ป่าแปลกๆ หรือสัตว์ป่าที่หายาก เพราะความยากจนและทรัพยากรที่มีไม่เพียงพอ “บะหมี่กับข้าวมันไม่พอ เราต้องการโปรตีน หลายคนคิดว่าสภาพภูมิอากาศภาคใต้ดี มีผลผลิตเยอะ แต่ทำไมมันถึงแห้งแล้งได้?”
ชาวเน็ตรายนี้แสดงความเห็นเพิ่มเติมด้วยว่า แม้ว่าประเทศจีนจะมีขนาดใหญ่ แต่ก็มีไม่กี่ภูมิภาคที่สามารถทำนาในปริมาณมาก พื้นที่ทางตอนใต้ส่วนใหญ่ของจีนเป็นพื้นที่ภูเขาและเนินเขา หากจะทำการเกษตรขนาดใหญ่ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลย ดินก็ไม่อุดมสมบูรณ์ อีกทั้งแต่ก่อน อุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์เป็นศูนย์ ผลผลิตทางการเกษตรก็ไม่พอต่อความต้องการของประชากรได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โปรตีน เขาเปรียบเปรยว่า ทำไมคนจากมณฑลกวางตุ้งจึงไปอเมริกาเหนือเพื่อเป็น ‘หมู’ (เปรียบอย่างคนชนชั้นล่าง) เพื่อสร้างทางรถไฟ และคนฝูเจี้ยนไปเป็นแรงงานที่ต่างประเทศเป็นจำนวนมาก เพราะหมายความว่า งานในท้องถิ่นไม่สามารถรองรับพวกเขาได้ และผลผลิตที่ดินไม่สามารถรองรับขนาดประชากรได้”
อีกความเห็นมาจากผู้ใช้ชื่อ 张爱问 บอกว่า ยังมีคนที่เชื่อเรื่องการบำรุงร่างกายจากการกินของแปลกๆ ที่ทั้งช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ บำรุงไต และยังมีความเชื่อว่า การกินเนื้อหนูสามารถป้องกันอาการศีรษะล้านได้ด้วย ค้างคาวจึงกลายเป็นอาหารสำหรับคนชอบของแปลก เพราะราคาอยู่ในระดับปานกลาง ไม่แพงมาก
และมีคนเล่าบน Netease ซึ่งเป็นบริการสตรีมมิ่งเพลงที่สามารถพูดคุยกันได้ โดยเล่าว่า บางหมู่บ้านมีประเพณีการกินค้างคาว และมีคนมากมายเลยทีเดียวที่ชอบกินค้างคาว ยิ่งพอมีข่าวแพร่กระจายไปว่าไวรัสนี้อาจเกิดจากค้างคาวก็มีชาวเน็ตในจีนจำนวนมากที่เผยแพร่โพสต์ของคนที่เคยรับประทานค้างคาว ในโพสต์เขียนไว้ว่า
“นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ได้ลองทานข้าวผัดเลือดตัวนิ่ม (pangolin) มันสุดยอดมาก”
ชาวเน็ตบางคนโพสต์เว่ยป๋อ (Weibo) แพลตฟอร์มคล้ายทวิตเตอร์ของจีนบอกว่า พวกเขาดื่มซุปสัตว์แปดชนิดที่ตุ๋นนานห้าชั่วโมง ในเมนูนั้นประกอบไปด้วยตัวนิ่ม งู หงส์ และอื่นๆ
“นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ได้ลองทานข้าวผัดเลือดตัวนิ่ม (pangolin) มันสุดยอดมาก”
ชาวเน็ตบางคนโพสต์เว่ยป๋อ (Weibo) แพลตฟอร์มคล้ายทวิตเตอร์ของจีนบอกว่า พวกเขาดื่มซุปสัตว์แปดชนิดที่ตุ๋นนานห้าชั่วโมง ในเมนูนั้นประกอบไปด้วยตัวนิ่ม งู หงส์ และอื่นๆ
อีกเมนูเปิบพิสดาร เนื้อตัวนิ่มผัด
แม้ว่าตลาดอาหารทะเลจีนใต้จะถูกเรียกว่าตลาดอาหารทะเล แต่ธุรกิจการค้าขายสัตว์ป่าและอาหารเปิบพิสดารก็มีจำนวนมาก เมื่อมีข่าวการระบาดว่าเกิดในตลาดอาหารทะเลอู่ฮั่นทางใต้ของจีน ก็มีการเปิดเผยชื่อร้านหนึ่งขึ้นมา ที่หน้าร้านใช้ชื่อว่า ‘สัตว์ป่ายอดนิยม’ ซึ่งขายสัตว์ป่าประเภทเปิบพิสดารมากกว่า 40 ชนิด ตั้งแต่ หนูไผ่สด นกยูงสด เนื้อสุนัขจิ้งจอก อีเห็นสด เนื้ออูฐ ลูกหมาป่าสด ราคาเริ่มตั้งแต่ 5 หยวน ลูกอ๊อดมีราคาถูกที่สุด ส่วนที่แพงกว่าใครคือกวางขนาดเล็ก ราคา 6,000 หยวน นอกจากนี้ นกกระจอกเทศที่ยังมีชีวิต อยู่ที่ 4,000 หยวน ส่วนนกยูงสดและจิ้งจอกเป็นๆ ราคาตัวละ 500 หยวน
อย่างไรก็ตาม นอกจากการยกปัญหาจากสภาพแวดล้อมมาเป็นคำตอบแล้ว ยังมีคำตอบที่กล่าวถึงการทำงานของเจ้าหน้าที่ เช่น ผู้ใช้ที่ชื่อว่า CY LL บอกว่า “เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นหลายคนในภาคใต้มีอำนาจได้อย่างทุกวันนี้เพราะแอบทำเรื่องผิดกฎหมาย”
นอกจากนี้ ยังมีบล็อกเกอร์ชื่อว่า 阿胖万事屋 ออกมาโพสต์แสดงความเห็นเกี่ยวกับการรับประทานอาหารแปลกๆ โพสต์ของเธอมีคนกดไลก์ไปถึง 430,000 ครั้ง เธอกล่าวว่า “หากปราศจากพวกโง่เขลาที่กินสัตว์ป่าและของแปลกๆ ทุกคนก็สามารถพักผ่อนได้อย่างมีความสุข สนุกไปกับครอบครัว กินอาหารค่ำส่งท้ายปีเก่าจีน หรือแม้แต่ไปช็อปปิ้งกับเพื่อนๆ ดูหนัง ผ่อนคลายได้อย่างสนุกสนาน”
ใต้โพสต์ดังกล่าวยังมีผู้มาแสดงความเห็นจำนวนมาก เช่น “ในฐานะผู้หญิงตั้งครรภ์ที่ต้องไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจร่างกาย ฉันรู้สึกตกใจมากที่ได้ยินข่าว พอไปโรงพยาบาลก็รู้สึกว่าเกลียดคนเหล่านี้ขึ้นมาเลย” และ “คนบางคนควรได้มีความสุขกับครอบครัว แต่ต้องจากโลกนี้ไปก่อน” แสดงบรรยากาศความโกรธของคนจำนวนหนึ่ง ในขณะที่ก็มีอีกมากที่แสดงความเห็นว่า เราควรร่วมมือร่วมใจในการฝ่าวิกฤตินี้มากกว่าด่าทอกันและกัน และควรให้กำลังใจกัน
Li Keqiang นายกเทศมนตรีอู่ฮั่น เข้าไปพบบุคลากรทางการแพทย์ ที่โรงพยาบาล Jinyintan เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2020 (Stringer/ REUTERS)
ความคิดเห็นของชาวจีนต่อการทำงานของรัฐ
ความคิดเห็นของชาวจีนต่อการทำงานของรัฐ
มีกระทู้โด่งดังที่ชาวเน็ตจีนหลายคนร่วมกันแชร์ที่ใช้ชื่อว่า “我连命都交上去了,更何况头发!”武汉90后护士的朋友圈,看完让人泪目!” เขียนโดยผู้ใช้ที่ชื่อว่า ‘雨晴’ โดยกล่าวว่า ไม่มีเมืองที่ถูกทิ้งร้าง มีแต่ความรักที่ถูกทิ้งไว้ กล่าวถึงความยากลำบากของบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องทำงานในช่วงเวลานี้ว่า ในตอนต้นของปีหนู การระบาดของโรค ‘ปอดบวมใหม่’ กำลังเกิดขึ้น ครอบคลุมเกือบทั้งหมดของจีน เซี่ยงไฮ้ เจ้อเจียง หูหนาน หูเป่ย และจังหวัดอื่นๆ รัฐกำลังเร่งแก้ไขสถานการณ์ แต่สิ่งที่น่าเศร้าก็คือ เรื่องที่โรงพยาบาลหูเป่ยจิงเหมิน มีคนไปเข้ารับการรักษา พอไม่ได้ดั่งใจก็ชกต่อย เตะหมอที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่
หรือแม้แต่ข่าวผู้ป่วยที่สงสัยว่าจะเป็นไข้ ก็ฉีกหน้ากากอนามัยออก ถ่มน้ำลายใส่หน้าพยาบาลแล้วก็พูดออกมาว่า “ถ้าฉันต้องตาย ก็อย่ามีชีวิตอยู่กันเลย” ในขณะที่หมอบางคนให้สัมภาษณ์ว่า “ไม่คำนึงถึงค่ารักษา โดยไม่คำนึงถึงชีวิตหรือความตาย” และ “ฉันต้องการปกป้องเมืองนี้”
ยังมีข้อมูลว่า ในสถานพยาบาลบางแห่ง พยาบาลที่อายุมากที่สุด อายุเพียง 25 ปี น้อยสุดคือ 20 ปี ซึ่งพยาบาลบางคนกล่าวว่า “กลัวก็กลัว แต่งานนี้ หากเราไม่ทำ ใครจะรับทำ?”
พยาบาลหลายคนเริ่มตัดผมของพวกเธอทิ้งเพื่อให้ทำงานได้สะดวกขึ้น โดยกล่าวว่า “แม้แต่ชีวิตก็ให้ไปแล้ว นับประสาอะไรกับแค่ผมบนศีรษะ” หรือแม้แต่ใส่หน้ากากอนามัยจนเป็นรอยช้ำที่หน้า แต่ก็ยังคงทำงานต่อไป บางคนทะเลาะกับครอบครัวเพราะไม่ได้กลับบ้านมาเป็นเวลานานจนตะโกนใส่โทรศัพท์ว่า “ฉันไม่อยากกลับบ้านเหรอ? มีคนมากมายนอนอยู่ที่นี่ ฉันเป็นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ ใส่ชุดนี้อยู่ก็ต้องมีความรับผิดชอบ”
บุคลากรทางแพทย์หลายคนไม่ได้หยุดงานในวันตรุษจีน ยังมีหลายคนอาสาเข้ามาทำงานเพราะกลัวไม่มีคนดูแลคนไข้ แพทย์คนหนึ่งกล่าวว่า “ฉันไม่ได้แต่งงาน ไม่มีภาระที่ต้องดูแลเด็ก ทุกคนกำลังต่อสู้ในสนามรบ ฉันมั่นใจในวันตรุษจีนนี้มาก”
นับแต่เวลา 10.00 น. ของวันที่ 23 มกราคม เมืองในหูเป่ยถูกปิดทั้งหมด ทั้งเมืองระงับการจราจรบนท้องถนน ขณะที่มีรถไฟความเร็วสูงขบวนพิเศษมาที่อู่ฮั่น โดยในขบวนพิเศษนี้เต็มไปด้วยบุคลากรทางการแพทย์ที่อาสามาด้วยตนเอง
อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์การทำงานของเจ้าที่ มีผู้มาตอบคำถามในเว็บไซต์ Zhihu อ้างอิงรายงานของคณะกรรมการสุขภาพของอู่ฮั่นที่รายงานสถานการณ์เกี่ยวกับโรคระบาดว่า ด้วยการสนับสนุนของรัฐบาลจีนและจังหวัดหูเป่ย อู่ฮั่นได้ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อป้องกันและควบคุมโรคอย่างเป็นระเบียบแล้ว โดยพัฒนาแผนงานสำหรับการวินิจฉัยและรักษา ตรวจรักษาโรคแต่เนิ่นๆ แยกผู้ป่วยขั้นต้นไปจนถึงขั้นพิเศษ ดำเนินการตรวจสอบทางระบาดวิทยาเชิงลึก ซึ่งจากการสอบสวนพบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่ซื้ออาหารสดจากตลาดที่อู่ฮั่น ดังนั้นในวันที่ 1 มกราคม 2020 ตลาดค้าส่งอาหารทะเลจีนใต้จึงถูกสั่งปิดลงทันที และตอนนี้ มีการออกมาตรการเพื่อป้องกันโรคและจัดการสุขอนามัยสิ่งแวดล้อมของสถานที่สาธารณะในเมือง มีการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรค เพิ่มความตระหนักของประชาชนในการป้องกันตัวจากโรคระบาด และร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เพื่อรายงานข้อมูลสถานการณ์การแพร่ระบาดไปยังองค์การอนามัยโลก
ขณะเดียวกัน หมอและพยาบาลทำงานอย่างหนัก บางคนเขียน “与夫书 (หนังสือถึงสามี)” ซึ่งเป็นใบแสดงเจตจํานงในการสมัครเป็นบุคลากรที่ต้องประจำการถาวรในห้องสังเกตการณ์ เพื่อลดภาระให้กับแพทย์คนอื่นๆ ในขณะที่นักวิชาการ จง หนานซาน อายุ 84 ปี ได้นำกลุ่มผู้เชี่ยวชาญระดับสูงของคณะกรรมการสุขภาพ และการแพทย์แห่งชาติไปยังพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยเขากล่าวแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ว่า “เราทุกคนไม่ควรกินสัตว์ป่า เราต้องเคารพชีวิตสัตว์ป่าและที่ที่พวกเขาอาศัยอยู่ เพราะพวกเขาเป็นผู้อาศัยอยู่ในโลกเดียวกันกับเรา”
นอกจากนี้ ยังมีคนตั้งคำถามว่า “ผลกระทบของไวรัสใหม่นี้กระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจอย่างไร?” โดยมีชาวเน็ตในจีนเข้ามาตอบว่า “หากการระบาดของโรคอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างรวดเร็วและเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ประชาชนจะซื้อสินค้าอุปโภค บริโภคจำนวนมาก และเครื่องมือแพทย์ก็จะขายดีมาก เพราะมีแรงกระตุ้น การแพร่ระบาดดังกล่าวก็ถือว่าได้กระตุ้นเศรษฐกิจ ยกเว้นอุตสาหกรรมพิเศษบางประเภท แต่หากการระบาดของโรคยังคงมีอย่างต่อเนื่อง การดำเนินงานทางเศรษฐกิจและสังคมก็จะชะงักไป” และบางคนก็เข้ามาตอบว่า “เชื่อว่าเราสามารถเอาชนะความยากลำบากได้ ประเทศจีนของเราทำได้”
อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์การแพร่ระบาด มีข่าวระบุว่า ผู้ที่ไม่มีรายได้ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาด สามารถเลื่อนการชำระหนี้ได้ โดยคนที่รับผลกระทบมากที่สุดคือชนชั้นกลาง-ชนชั้นล่าง เพราะไม่มีเงินมากพอในภาวะเศรษฐกิขเช่นนี้ บางคนมีรายได้ 3,000 ถึง 4,000 หยวนต่อเดือน แม้แต่นักเรียนที่เพิ่งจบการศึกษา เงินเดือนก็ไม่ได้แตกต่างไปจากนี้ กลับกัน ตอนนี้มีบางร้านฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้า เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ตในมณฑลเหอหนาน ถูกปรับ 500,000 หยวนเพราะขายกะหล่ำปลีแพงเกินความจำเป็นถึงหัวละ 63.9 หยวน และผู้ใช้ชื่อ ‘忆羽’ เข้ามาตอบว่า หน้ากากอนามัยหมดสต็อก ยาบางชนิดก็หมดเกลี้ยง หากอยากซื้อหน้ากากอนามัยก็ต้องเดินหาหลายๆ ร้าน
อย่างไรก็ตาม ชาวจีนจำนวนมากยังเชื่อในการทำงานของรัฐ แต่ไม่ค่อยเชื่อใจรัฐบาลท้องถิ่นนัก เพราะรู้สึกว่ามีหลายครั้งที่รัฐบาลท้องถิ่นปกปิดข่าว เช่น เมื่อคราวที่โรคซาร์สระบาดในปี 2003 จนกลายเป็นเรื่องบานปลาย ทำให้ความคลางแคลงใจของประชาชนเพิ่มมากขึ้น แต่ก็ยังเชื่อว่า จะผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้
ชาวเน็ตจีนส่วนหนึ่งพยายามส่งข้อความให้กำลังใจบุคลากร ทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐและเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ รวมทั้งขอบคุณเจ้าของโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยแห่งหนึ่งที่จ่ายค่าจ้างให้คนงานมากกว่าเดิม 3 เท่าเพื่อเร่งผลิตออกมาจำหน่ายในราคาเท่าเดิมโดยไม่เพิ่มราคาแม้ต้นทุนจะเพิ่มก็ตาม
อีกทั้งแฟนคลับดารา ศิลปิน และตัวศิลปินเองก็ร่วมกันบริจาคเงินและซื้ออุปกรณ์สนับสนุนเท่าที่จะทำได้ นอกจากนี้ รัฐยังสั่งให้งดรายการบันเทิงเพื่อให้เวลาแก่การนำเสนอข่าวมากขึ้น
ความคิดเห็นของคนจีนต่อข่าวต่างประเทศ
กระแสการนำเสนอข่าวของต่างประเทศ มีคนจำนวนไม่น้อยที่กล่าวว่า เชื่อใจการทำงานของรัฐบาลกลาง และเสนอว่าต้องระวังการเผยแพร่ข่าวลือ โดยเห็นว่า การเผยแพร่ตัวเลขคนที่สงสัยว่าอาจจะติดเชื้อแต่ยังไม่ได้รับการยืนยันว่าได้รับเชื้อไวรัสโคโรนาจริง เท่ากับเป็นการปล่อยข่าวลือ ซึ่งสร้างความเสียหายต่อประเทศ
ในขณะที่บางคนมองว่า การนำเสนอข่าวของสำนักข่าวต่างประเทศ ทำให้คนทั่วโลกก่นด่าชาวจีน และเหมารวมว่าพวกเขาเป็นพวกชอบกินสัตว์แปลกๆ หรือเป็นพวกเปิบพิสดาร การก่นด่าชาวจีนเป็นเหมือนที่รองรับอารมณ์ของคนทั่วโลก แต่รัฐบาลจีนไม่ได้ละเลย ยังทำตามแนวทางขององค์การอนามัยโลก (WHO)
ชาวเน็ตรายหนึ่งคอมเมนต์เสริมว่า “โลกเกลียดคนจีน คนจีนเกลียดคนหูเป่ย คนหูเป่ยเกลียดคนอู่ฮั่น คนอู่ฮั่นเกลียดคนที่กินสัตว์แปลกๆ” นอกจากนี้มีชาวเน็ตกล่าวว่า “เราอาจจะไม่สามารถถอดหมวกที่สวมหัวเราอยู่ว่า ‘คนจีนกินทุกอย่าง’ ได้อีกต่อไป”
ในขณะที่คนฝรั่งเศสในโลกทวิตเตอร์แชร์ประสบการณ์การเจอคนในจีน หรือบางคนก็แสดงความประสงค์ว่าไม่อยากอยู่ใกล้คนเอเชียหรือคนจีน เช่นเหตุการณ์บนรถไฟฟ้าที่มีคนจีนขึ้นมา แล้วคนฝรั่งเศสพร้อมใจถอยห่างออกไป หรือแม้แต่ครูคนหนึ่งทวีตว่า “นักเรียนของฉันเป็นชาวเอเชียอายุ 11 และ 12 ปี วันนี้พวกเขาป่วยเล็กน้อย แต่ว่าพวกเขาถูกรุมแกล้งและถูกตี คนยังเย้ยหยันพวกเขา กล่าวหาว่านำเชื้อไวรัสมาที่ฝรั่งเศส” ในขณะที่พาดหัวของสื่อในท้องถิ่นของฝรั่งเศสเรียกชาวจีนว่า “alerte jaune (รหัสเหลือง)” ซึ่งบางคนมองว่าชื่อเรียกนี้ดูรุนแรงไป คล้ายการเสียดสีที่เรียกคนเอเชียว่าลิงเหลือง แต่บางคนก็มองว่าเหมาะสมแล้ว
ความคิดเห็นของคนจีนต่อประเด็นที่เกี่ยวกับประเทศไทย
มีผู้ตั้งคำถามว่า จะไปประเทศไทยดีไหม เธอจองตั๋วเครื่องบินไว้แล้ว อยากยกเลิกแต่ก็เสียดาย โดยใต้กระทู้ดังกล่าวมีผู้ใช้ชื่อว่า ‘一知狗’ เข้ามาแสดงความเห็นว่า ไม่ควรไป โดยยกเหตุผลว่า แม้ประเทศไทยยังยินดีที่จะให้คนจีนเข้าไปท่องเที่ยวได้อยู่ แต่อย่าเพิ่มความโกลาหลในประเทศอื่นๆ เลย “ลองคิดดูว่าตอนที่มีข่าวโรคระบาด เรายังรังเกียจชนชาติอื่นเลย ชาวต่างชาติตอนนี้ก็เหมือนกัน มองเราด้วยสายตารังเกียจเหมือนที่เรามองชาวอู่ฮั่น” ซึ่งความเห็นดังกล่าวมีคนมากดแสดงความเห็นด้วยจำนวนมาก
นอกจากนี้ ชาวเน็ตจีนยังกล่าวว่า “สภาการแพทย์ของไทยยังไม่อาจเทียบเท่ากับประเทศจีน แต่สภาพแวดล้อมดีมาก มีบริการที่เอาใจใส่ สภาพของโรงพยาบาลเอกชนในประเทศไทยก็ดีมาก แต่ค่าใช้จ่ายสูงเกินไป”
อีกทั้งกรณีที่เจ้าหน้าที่ชาวไทยแจกหน้ากากอนามัยฟรี ตามสถานีรถไฟฟ้า สถานีรถใต้ดิน ตลาดนัดรถไฟและที่ศาลพระพรหมเอราวัณ ก็ได้รับคำชมจากนักท่องเที่ยว ว่ารู้สึกประทับใจในรัฐบาลไทยที่ใส่ใจ แต่ก็ยังไม่ได้กล่าวถึงไทยเป็นวงกว้างนัก เพราะส่วนมาก ชาวเน็ตยังกังวลกับสถานการณ์ภายในประเทศมากกว่า
เครดิตแหล่งข้อมูล : themomentum.coเครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!" ประกาศ "
ร่วมแสดงความคิดเห็น