เพื่อคนไข้! คุณหมออนามัยขึ้นเขา-ลงห้วย เพื่อไปหาผู้กักตัว
ในช่วงเช้าเข้าเวลาทำงาน ณ รพ.สต.บนดอยที่ห่างไกลจากความเจริญ ข้าพเจ้าประจำอยู่ รพ.สต.กับเพื่อนพยาบาลอีกคนหนึ่ง อากาศช่วงกลางวันมันช่างร้อนระอุ มองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นเปลวแดดระยิบระยับ ประหนึ่งว่ามีกองฟืนสุมอยู่ใต้พื้นดิน มีเสียงจักจั่น และนกร้องประสานเสียงรับกันเป็นระยะๆ ย้ำเตือนให้เห็นความเป็นธรรมชาติที่ยังคงความสมบูรณ์ และความแห้งแล้งของบนดอยอยู่
พอทานข้าวกลางวันเสร็จ รีบกุลีกุจอ เอื้อมมือไปหยิบแฟ้มผู้ที่กักตัว มาบันทึกและสรุป เป็นข้อมูลที่ได้ลงไปเยี่ยมผู้กักตัวจากเมื่อวานนี้ แต่ด้วยภารกิจที่เร่งด่วน จึงยังไม่มีเวลาสรุป ได้แค่ลงบันทึกในแบบฟอร์ม ไล่จากคนที่ หนึ่ง สอง สาม .. ไปเรื่อยๆ อารมณ์และความรู้สึกเสมือนว่าได้ออกไปเยี่ยมผู้ที่กักตัวจริงๆอีกรอบหนึ่ง พอบันทึกมาถึงครอบครัวผู้กักตัว ที่มีทั้งแม่ ลูก และหลานๆ รวมจำนวน 7 คนที่อาศัยอยู่ในกระต๊อบที่ไร่ ห่างจากหมู่บ้านออกไปพอสมควร ที่ อสม.สรุปมาให้ ช่างเป็นเหตุบังเอิญจริงๆ จู่ๆ ก็มีญาติครอบครัวนี้มาติดต่อและแจ้งข่าวว่า
ข้าพเจ้านิ่งไปสักครู่ มีความรู้สึกเป็นห่วงเด็ก จะมีอาการเจ็บป่วยมากหรือเปล่า พอได้คำตอบในใจแล้ว จึงแจ้งญาติไปว่า
"เดี๋ยวหมอจะไปเยี่ยมเองนะ"
ขณะที่ตอบไป ก็ยังไม่รู้หรอก ว่าจะไปยังไง และเส้นทางที่จะไปมีสภาพเป็นอย่างไร ซึ่งผู้ป่วยรายนี้ยังไม่เคยไปเยี่ยม พร้อมกันนั้นได้โทรประสาน อสม.ในเขตรับผิดชอบและชวนไปเยี่ยมด้วยกัน
อสม.ถามกลับมา
"หมอไปไหวเหรอมันไกลมากนะ ต้องข้ามห้วย ข้ามเขา 2 ม่อน (เขา 2 ลูก) จึงจะถึงที่กักตัว"
คิดในใจ โหดขนาดนั้นเลยเหรอ และตัดสินใจอีกทาง พร้อมกับบอก อสม.ไปว่า
"ไม่เป็นไร อสม.ไม่ต้องไปหรอก หมอจะไปกับพี่ผู้ช่วยเอง"
กว่าจะพร้อมเดินทางเวลาก็ล่วงเลยไปบ่ายโมงกว่าๆแล้ว เมื่อทุกอย่างพร้อม ก็นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ออกจาก รพ.สต.ไปหาคนไข้ทันที
เส้นทางจาก รพ.สต.ไปยังสถานที่กักตัว เริ่มจากถนนค่อนข้างสะดวกสบาย เข้าสู่ถนนลูกรัง ความยากลำบากเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ บางช่วงเป็นเส้นทางที่แคบและเขาสูงชัน บางช่วงมีลำห้วยขวางกั้นเส้นทาง ต้องเดินเท้าสลับกับนั่งซ้อนท้ายจักรยานยนต์หลายรอบ ข้าพเจ้าเหงื่อท่วมตัวภายใต้ชุดประยุกต์ที่ปิดมิดชิด หายใจภายใต้หน้ากากอนามัยที่ชุ่มด้วยเหงื่อ ช่างเป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน คำว่า "เหนื่อยสายตัวแทบขาด" คงเป็นแบบนี้เอง
เราเพิ่งจะมองเห็นภูเขาสูงชันตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า คือจุดหมายปลายทางของเรา ข้าพเจ้าดีใจได้เดี๋ยวเดียว ต้องลงเดินอีกครั้ง ปล่อยให้ผู้ช่วยเหลือคนไข้ควบรถจักรยานยนต์ ขึ้นเนินที่แคบและชันไปรออยู่ตรงตัวเนินเขา สักครู่ได้ยินเสียงร้องตะโกนลงมาว่า
"หมอครับ จะถึงหละครับ พอเดินไหวไหม"
"ไหว ยังพอไหว" ทั้งๆที่เหนื่อยแทบจะขาดใจ
มือข้างหนึ่งหิ้วถุงยา อีกข้างก็พยุงเกาะยึดกิ่งไม้ เถาวัลย์ หรือวัตถุตามข้างทาง ถึงกระนั้นก็ยังไถลลื่นไปหลายครั้ง ข้าพเจ้าพยุงตัวขึ้นไปเรื่อยๆ พอโผล่พ้นเนินเขา มองออกไปไกลๆเห็นกระต๊อบเล็กๆ อยู่ลิบๆ ความรู้สึกดีใจกลบความเหนื่อยล้าไปสิ้น
พอเข้าใกล้ในระยะสายตาที่มองเห็นชัดเจน สภาพกระต๊อบที่ปลูกอยู่กลางไร่ ไม่ได้มีความคงทนถาวร เสาทำด้วยไม้ขนาดท่อนแขน พอที่จะค้ำยันไม่ให้ล้มลงไปได้สักระยะเวลาหนึ่ง ฝาผนังทำจากกระสอบ และเศษผ้ากะลาเก่าๆ พอบังลมและกั้นให้เป็นสัดส่วน ส่วนหลังคามุงด้วยหญ้าคาวางทับๆเอาไว้ มีไม้ฟืนทับอีกที กันไม่ให้ลมพัดปลิว ผู้กักตัวที่พักในกระต๊อบคงร้อนหน้าดู
เมื่อถึงกระต๊อบ เห็นเด็กๆอายุไล่เลี่ยกันราวๆ 4-7 ปี จำนวน 4 คน แต่ละคนสวมเสื้อผ้าเก่าๆ เนื้อตัวมอมแมม ยิ้มกว้างๆ มาพร้อมกับผู้หญิงมีอายุ 2 คน คงจะเป็นยายและแม่ของเด็กๆ ทุกคนสวมหน้ากากผ้า ออกมาต้อนรับ ทุกคนเหมือนจะดีใจมาก ที่มีหมออนามัยมาเยี่ยมถึงไร่ ที่ขอบตาข้าพเจ้ามีน้ำเอ่อล้นออกมาโดยไม่ทันรู้ตัว รู้สึกสงสารเด็กๆ ที่ต้องทนอยู่ในสภาพอากาศที่ร้อนระอุแบบนี้ จนครบ 14 วัน
"เล่นที่ไร่สนุกไหม" ทุกคนตอบเกือบพร้อมกันว่า "สนุก"
ข้าพเจ้าไม่รอให้หายเหนื่อย ต้องรีบตรวจร่างกายคนไข้ทันที กลัวจะมืดค่ำในช่วงขากลับ พร้อมกับยึดหลักป้องกันการสัมผัส ยืนห่างกันช่วง 2 เมตร ให้ทุกคนล้างมือ ข้าพเจ้าเริ่มสอบถามความเป็นอยู่ ประเมินสภาพแวดล้อมทั่วไป ทุกคนบอกว่ามีความสุขกับการกักตัว ไม่ได้ลำบากอะไร สามารถอยู่ได้ครบ 14 วันแน่นอน
สำหรับเด็กน้อยที่ป่วย ข้าพเจ้าวัดไข้ได้เพียง 37.0 องศาเซลเซียล มีอาการเจ็บคอ ไอ มีน้ำมูก ไม่หอบเหนื่อย จึงให้ยาที่จัดเตรียมมา พร้อมทั้งบอกกับแม่ของเด็กไว้ว่า
"หมอจะให้ยาแก้ไข้ ยาบรรเทาอาการไอ และยาลดน้ำมูก ให้กิน 3 วัน และจะติดตามอาการไข้ทุกวัน"
ก่อนที่จะเดินทางกลับ รพ.สต.พร้อมกับผู้ช่วยเหลือคนไข้
กลับถึงที่พักช่วงเย็นๆ ข้าพเจ้าก็หมดแรงพอดี คืนนั้นคงจะหลับเกือบสนิท ถ้าในใจไม่คิดเป็นห่วงเด็ก กลัวว่าจะมีอาการไข้ในเวลากลางคืน
ความรับผิดชอบ ความผูกพันกับชาวบ้านที่มีต่อกัน ทำให้ข้าพเจ้าลืมความเหน็ดเหนื่อย ความยากลำบากที่พบเจอในระหว่างการทำงาน เพียงเพื่ออยากให้ชาวบ้านเหล่านั้นได้รับบริการสุขภาพที่ดี มีความปลอดภัยจากความเสี่ยงที่โลกกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้