"การที่พบหลักฐานการติดเชื้อโดยการตรวจเลือด และเจอ IgG แต่ยังตรวจเชื้อเจอ ระบุไม่ได้ว่า นั่นคือ "ซาก" หรือไม่ เป็นคนละเรื่องกัน
แม้ว่าจะเจอ Neutralizing antibody ซึ่งเป็นภูมิจริงที่ยับยั้งไวรัสได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าขณะนั้นปล่อยเชื้อไม่ได้คนไข้มากหลายที่แม้มี ภูมิชนิดนี้ก็ปล่อยเชื้อได้ และยังติดต่อคนอื่นได้"
"การตรวจว่ามีติดเชื้อโควิด19 โดยการเจาะเลือดหาแอนติบอดี ต้องมีความระมัดระวัง
ทั้งนี้ต้องทำการตรวจทั้งสามชนิด ได้แก่ IgM IgG และ neutralizing antibodyเพราะผู้ป่วยแต่ละราย จะได้รับเชื้อที่วันเวลาต่างกัน
(การครวจที่ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ รพ จุฬา คณะแพทยศาตร์ สภาการชาดไทย)
ในคนป่วยที่มีอาการและยังตรวจเขื้อต่อเนื่องไปในขณะที่ให้การรักษาพบว่า
ยังมีเชื้อออกมา"อย่างต่อเนื่อง" ทั้งๆที่มี แอนติบอดี้ 1 ชนิด หรือ ทั้ง 3 ชนิดรวมกัน ตั้งแต่ต้น ซึ่งแสดงว่าไม่ใช่เป็นซากเท่านั้นที่ออกมา
การที่ปล่อยเชื้อได้และระบุว่าเป็น "ชาก" ไปหรือยัง ไม่สามารถประเมินจากสถานะ ของ แอนติบอดีอย่างเดียว แต่ชนิดของแอนติบอดี ให้ข้อมูลเบื่องต้นถึงระยะเวลาหลังติดเชื้อได้พอควรโดย
มีการติดเชื้อมาใหม่ ภายใน 4 วันที่แล้ว หรือในระยะกลางๆ หรือ นานกว่านั้น ตั้งแต่ 10-14 วันที่แล้ว
และการมี neutralizing antibody จากการตรวจมาตรฐานนี้ จะไม่ขึ้นกับชนิดของแอนติบอดี ว่าต่องขั้นพร้อมกับ IgG หรือ IgM หรือไม่ จึงเรียกว่า Surrogate isotype independent virus neutralizing antibody
2 รายนี้ ที่เป็นกรณีนั้น ออกจาก SQ ที่กักตัวของรัฐ หลังจากกลับจาก ตปท ไปอยู่บ้าน โดยตรวจไม่มีเขื้อ
แต่จะไปทำงาน ตปท เลยตรวจและเจอเชื้อ
ที่ต้องติดตามไม่ใช่ขณะนี้ เป็นซาก หรือไม่?
ที่ต้องติดตามคือก่อนหน้าเป็นซาก ไปได้เชื้อจากไหน และแพร่ไปได้หรือไม่?"
"2 รายหรือจะกี่รายก็ตาม ที่ตรวจเจอ ไม่ใช่เรื่องแปลก เช็คใหม่ว่าเป็นจริงหรือไม่ โดยการตรวจเลือด
ถ้าเป็นจริงไม่ต้องปิดจังหวัด ปิดเมือง
ไม่ต้องตกใจ
ค่อยๆถามว่าอยู่ที่ไหนมา ไปไหนก่อนหน้าที่จะตรวจเชื้อเจอ
และเมื่อทราบว่ามีใครบ้างสัมผ้สใกล้ชิดก็ขอเจาะเลือดนิดเดียวปลายนิ้วส่งมาตรวจที่ แลป สภากาชาด ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่
ถ้าบวกก็ปฏิบัติตัวตามขั้นตอน ถ้าลบก็จบ
ง่ายๆดี เท่านั้นเองนะครับ"