ทัวร์ลง ทนายเดชา-ษิทธา จวกยับ,อัจฉริยะ ติงอย่าเห็นแก่เงินจนลืมคุณธรรม
คืบหน้าล่าสุด วันที่ 5 ตุลาคม 2563 ที่ผ่านมา นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ได้โพสต์เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า
ทุกวันนี้ผมได้รับข้อเสนอที่น่าสนใจเยอะมากนะครับ แต่หลายครั้งผมตัดสินใจปฏิเสธทั้งที่ถ้าเลือกงานนี้ผลตอบแทนก็เป็นเงินมากโข แต่ด้วยถ้าทำแล้วไม่สบายใจ ขอไม่ทำดีกว่า แน่นอนครับ
ทนายเลือกงานได้ ทั้งเป็นทนายโจทก์และทนายจำเลย คดีแบบเด็กอนุบาลถูกทารุณกรรม ผมขอผ่าน ได้กี่บาทก็ขอไม่รับ แต่ขอเสนอแนะในฐานะที่เป็นทนายให้ลูกเพจอ่านดูแล้วกันนะครับว่าถ้าผมเป็นทนายคดีครูจุ๋ม ผมจะทำแบบนี้
1. ออกแถลงขอโทษผู้ปกครองและสังคม โดยปราศจากข้อแก้ตัว รวมถึงเลิกโทษคนอื่น เก็บความเฟียส ความกร้าวใส่ลิ้นชักชั้นลึกที่สุด ผลร้ายมีมากกว่าผลเสียถ้าใช้อารมณ์
2. หาทางเยียวยาตามกฎหมาย ไม่ปกป้องคนกระทำผิด ปฏิรูปโรงเรียน เสนอมาตรการที่จะมีในอนาคต เพื่อยืนยันว่าเด็กนักเรียนจะมีสวัสดิภาพที่ดี ไม่ถูกทำร้ายแบบที่ผ่านมา
3. ไม่แจ้งความผู้ปกครอง ควรเข้าใจว่าเป็นลูกใคร ใครก็โกรธ แน่นอนว่า การทำร้ายร่างกายกันในที่สาธารณะ มันผิดกฎหมาย แต่อย่าลืม ว่าฝั่งโรงเรียนเป็นฝ่ายผิด แต่หาทางเจรจา ให้ครูนำดอกไม้ ของขวัญไปขอขมาผู้ปกครองรายคนโดยนอบน้อมที่สุด เขาจะรับหรือปฏิเสธไม่ใช่สาระที่สำคัญ แต่ผิดแล้วต้องรับผิดและแก้ไขไม่ใช่แก้ตัว
4. ให้ลูกความสารภาพตลอดข้อกล่าวหา เพื่อลดโทษ และเป็นการสำนึกผิด หลักฐานมันชัดเจนขนาดนี้ ไม่มีประโยชน์ที่จะแถ เสียทั้งภาพลักษณ์โรงเรียน และไม่แฟร์กับเด็กและผู้ปกครอง
สำหรับผมการพาลูกความไปแจ้งความ เหมือนราดน้ำมันลงกองไฟ ทำให้สถานการณ์เลวร้ายขึ้น เสียชื่อโรงเรียนไม่พอ จากฝ่ายโจทก์อาจจะเห็นความสำนึกผิด จะยิ่งโกรธแค้น และทำให้คดีอื่น ๆ อีกเป็นพรวนเสียไปหมด ทนายมืออาชีพที่ว่าความที่ศาลจริง ไม่ใช่ศาลโซเชียล เขาไม่ทำกันหรอกครับในขณะที่ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ได้โพสต์ถึงเรื่องนี้ว่า
"#ดังได้ก็ดับได้ 35 ปี ไม่มีความหมาย หากไปฟ้องผู้ปกครอง ชมรมไม่เห็นด้วย อย่าเห็นแก่เงินจนลืมคุณธรรม ถึงจะเป็นเพื่อนกันก็เตือนด้วยความหวังดี โรงเรียนค่าเทอมแพง จ้างครูไม่มีคุณภาพทำร้ายเด็ก แทนที่จะสำนึกแสดงความรับผิดชอบ บัดซบจริง ๆ"