ชาวเน็ตแห่ตามหาวัคซีน ติดแฮชแท็ก#โมเดอร์นาอยู่ไหน ฮ็อตสุดนาทีนี้!!
ชาวเน็ตแห่ตามหาวัคซีน ติดแฮชแท็ก#โมเดอร์นาอยู่ไหน ฮ็อตสุดนาทีนี้!!
แฮชแท็ก #โมเดอร์น่าอยู่ไหน กลายเป็นแฮชแท็กสุดร้อนแรงนาทีนี้ และกำลังกลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้งสำหรับการทวงถามความคืบหน้าของวัคซีนโมเดอร์น่า โดยชาวทวิตเตอร์มีการคุดคุ้ยและวิพากษ์วิจารณ์สาเหตุของความล่าช้าในแง่มุมต่างๆ
ความเคลื่อนไหวของโมเดอร์นา ที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยนั้น เกิดขึ้นครั้งแรกวันที่ 19 มกราคม 2564 เมื่อ ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราช กล่าวว่า ประเทศไทยจะนำเข้าวัคซีนสองตัว ได้แก่ โมเดอร์นา วัคซีน mRNA จากสหรัฐฯ และ ซิโนแวค วัคซีนเชื้อตายจากจีน
จากนั้นในเดือนกุมภาพันธ์ องค์การเภสัชกรรม เริ่มติดต่อกับบริษัท โมเดอร์นาผ่านทางอีเมล์ คุยความเป็นไปได้ก่อนว่าสามารถนำเข้าวัคซีนมาที่ประเทศไทยได้หรือไม่
จะเห็นได้ว่า โมเดอร์นา เป็นยี่ห้อแรก คู่กับซิโนแวค ที่มีข่าวว่าจะเข้าไทยก่อนไฟเซอร์, จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน และ ซิโนฟาร์มเสียอีก
วันที่ 30 เมษายน 2564 องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้โมเดอร์นา เป็นวัคซีนที่ใช้การได้ในภาวะฉุกเฉินเป็นยี่ห้อที่ 5 ต่อจากไฟเซอร์, แอสตร้าเซเนก้า, โควิชิลด์ และ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ซึ่งเมื่อ WHO ให้การยอมรับแล้ว โมเดอร์นาจึงเริ่มกระบวนการกระจายสินค้าไปสู่ประเทศต่างๆ ทั่วโลก
เมื่อ WHO ประกาศยอมรับ ทำให้วันที่ 13 พฤษภาคม 2564 คณะกรรมการอาหารและยาของไทย (อย.) จึงประกาศอนุมัติตามไปติดๆ ในเวลาไล่เลี่ยกัน ให้โมเดอร์นาสามารถใช้การได้ในประเทศไทย เป็นแบรนด์ที่ 4 ต่อจาก แอสตร้าเซเนก้า, ซิโนแวค และ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน
ณ เวลานี้ ภาครัฐและเอกชนเห็นภาพตรงกันแล้วว่า ลำพังวัคซีน 2 ยี่ห้อหลัก คือแอสตร้าเซเนก้า และ ซิโนแวค ไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชนในประเทศ ดังนั้นกระทรวงสาธารณสุขจึงเสนอแผนให้ ศบค.ว่า จากนี้ไปภาครัฐกับภาคเอกชน จะไปเดินหน้าเจรจากับยี่ห้อต่างๆ เพื่อนำเข้ามาฉีดเพิ่มจากเดิมที่มี
โดยภาครัฐจะไปดีลกับไฟเซอร์, สปุตนิค และ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ส่วนภาคเอกชนจะไปจัดซื้อวัคซีนยี่ห้ออื่น โดยนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า "วัคซีนทางเลือกที่โรงพยาบาลเอกชนจะนำเข้าควรมียี่ห้อแตกต่างจากวัคซีนที่รัฐบาลจะนำเข้ามาเพิ่มเติม เพื่อไม่ให้ซ้ำซ้อนกับภาครัฐ"
เมื่อฝั่งกระทรวงสาธารณสุขเสนอมาแบบนี้ ทำให้สมาคมโรงพยาบาลเอกชนเล็งเป้าหมายไปที่โมเดอร์นา โดยเริ่มจาก "ถามความสนใจ" ว่าถ้ามีการจองโมเดอร์นาจริง ประชาชนจะยอมควักเงินจ่ายเองหรือไม่ ซึ่งนายแพทย์เฉลิม หาญพาณิชย์ นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ได้เผยตัวเลขว่า มีประชาชนต้องการโมเดอร์นามากกว่า 9.2 ล้านโดส
เมื่อมีความต้องการมากขนาดนี้ ทำให้วันที่ 23 กรกฎาคม 2564 องค์การเภสัชกรรม ในฐานะผู้นำเข้าวัคซีน ได้ประกาศลงนามซื้อขายวัคซีนโมเดอร์นา ผ่านบริษัท ซิลลิค ฟาร์มา ประเทศไทย โดยจะซื้อวัคซีนเป็นจำนวน 5 ล้านโดส เริ่มทยอยได้รับสินค้าตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคมปี 2564 ไปจนถึงเดือนมีนาคม 2565
โดยโมเดอร์นา จำนวน 5 ล้านโดส จะแบ่งเป็นของโรงพยาบาลเอกชน 3.9 ล้านโดส และอีก 1.1 ล้านโดสจะกระจายให้กับสภากาชาดไทย โรงพยาบาลรามาธิบดี และ โรงพยาบาลศิริราช
เมื่อรู้จำนวนแน่ชัดแล้วว่า โรงพยาบาลเอกชนจะได้โควต้า 3.9 ล้านโดส ทำให้แต่ละโรงพยาบาลก็เริ่มกระบวนการให้ประชาชนจ่ายเงินล่วงหน้าไว้ก่อนได้เลย โดยแต่ละโรงพยาบาลก็เสนอราคาที่ต่างกัน เช่น โรงพยาบาลวิภาวดี และโรงพยาบาลธนบุรี คิดราคา 2 เข็ม รวม 3,300 บาท เป็นต้น ซึ่งประชาชนก็จ่ายเงินจองคิวกันอย่างล้นหลาม
ระหว่างที่กลุ่มโรงพยาบาลเอกชน รอวัคซีนจากซิลลิค ฟาร์มาอยู่นั้น ในวันที่ 17 กันยายนก็มีข่าวสำคัญ เมื่อราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ลงนามสัญญาซื้อโมเดอร์นาจำนวน 8 ล้านโดส โดยแบ่งส่วนหนึ่งให้ผู้ด้อยโอกาส และอีกส่วนหนึ่งจะนำไปขายต่อให้เอกชน
ดังนั้น ในภาพรวม ไทยจึงมีการสั่งโมเดอร์นาทั้งหมด 2 ก้อน คือ ก้อนของโรงพยาบาลเอกชนที่สั่งก่อน จำนวน 5 ล้านโดส และ ก้อนของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ที่สั่งที่หลังจำนวน 8 ล้านโดส
หากเทียบกับประเทศในอาเซียน ไทยเป็นหนึ่งในชาติที่ได้โมเดอร์นาช้าที่สุด ตัวอย่างเช่น
- สิงคโปร์ ได้ 17 กุมภาพันธ์ 2564
- ฟิลิปปินส์ ได้ 27 มิถุนายน 2564
- อินโดนีเซีย ได้ผ่านโคแว็กซ์ 11 กรกฎาคม 2564
- เวียดนาม ได้ผ่านโคแว็กซ์ 24 กรกฎาคม 2564
อย่างไรก็ตามแม้จะได้ช้า แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ ถึงตรงนี้ประชาชนจึงเฝ้ารอโมเดอร์นาด้วยความหวัง
เข้าสู่เดือนตุลาคม ตามกำหนดการนั้น โมเดอร์นาล็อตแรกสำหรับโรงพยาบาลเอกชน จำนวน 1.9 ล้านโดส ต้องมาถึงมือคนไทยแล้ว แต่สุดท้ายโดน "เลื่อน" ยังไม่มาถึงสักที จนทำให้คนที่สั่งจองไปทวงถามกันอย่างดุเดือด
สุดท้ายบริษัทซิลลิค ฟาร์มา ต้องออกแถลงการณ์ 3 ข้อ มีใจความว่า
- ตอนนี้ความต้องการวัคซีนทั่วโลกสูงกว่าการผลิต แต่จะพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อให้ได้วัคซีนเร็วที่สุด
- ซิลลิค ฟาร์มา แจ้งว่าจะได้วัคซีนจริงๆ ในเดือนพฤศจิกายน 2564 เป็นต้นไป เรื่องการดีเลย์อยู่นอกเหนือการควบคุมของซิลลิค ฟาร์มา ที่เป็นตัวแทนนำเข้า
- แผนล่าสุดคือ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน จะทยอยส่งวัคซีนให้ประเทศไทย สัปดาห์ละ 1-3 แสนโดส ส่งไปเรื่อยๆ จนครบ ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2565
สำหรับสถานการณ์ตอนนี้ ยังไม่มีความแน่นอนว่าโมเดอร์นาจะเข้ามาวันไหน เพราะแม้ซิลลิค ฟาร์มา บอกว่าจะได้สินค้าในเดือนพฤศจิกายน แต่ก็ไม่มีอะไรแน่นอน อาจจะเลื่อนไปอีกรอบ ลากยาวจนถึงเดือนธันวาคมก็เป็นได้
นอกจากนั้นอีกประเด็นในโลกออนไลน์ที่ถูกตั้งคำถามคือ เมื่อโมเดอร์นามาถึงไทยล็อตแรกแล้วนั้น วัคซีนจะเป็นของใครก่อน ระหว่างโรงพยาบาลเอกชน หรือราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์
กล่าวคือแม้ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์จะระบุว่า จะได้โมเดอร์นาในไตรมาสแรกของปี 2565 แต่คนที่สั่งจองกับโรงพยาบาลเอกชนไปนั้น ตราบใดที่วัคซีนยังไม่มาถึง ก็ยังมีความกังวลใจอยู่ ว่าจะโดนโฉบตัดหน้าไปก่อน
ขณะที่ประเด็นเรื่องราคานั้น ของโรงพยาบาลเอกชน จะคิดราคาเข็มละ 1,500 - 1,650 บาท โดยใน 1 เข็ม วัคซีนจะมีความแรง 100 ไมโครกรัม ขณะที่ของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ จะคิดราคาถูกกว่าอยู่ที่เข็มละ 555 บาท แต่ก็จะมีความแรงเพียง 50 ไมโครกรัม
ในรายงานที่สหรัฐฯ ระบุว่า สำหรับคนที่ต้องการ Booster เข็ม 3 หรือ เข็ม 4 การฉีดด้วยความแรง 50 ไมโครกรัม ก็เพียงพอแล้ว แต่สำหรับคนที่ฉีดเข็ม 1 หรือ 2 คำแนะนำคือ ฉีดด้วยความแรง 100 ไมโครกรัมจะดีกว่า
มีบางคนที่จ่ายเงินหลักพันให้โรงพยาบาลเอกชนแล้ว แต่เมื่อเห็นราคาของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ที่ถูกกว่า จึงต้องการขอเงินคืนที่จองไว้ แล้วมาซื้อของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์แทน แต่มีการยืนยันว่า เงินที่จองไว้ไม่สามารถขอคืนได้ แต่สามารถโอนสิทธิ์ให้คนอื่นแทนได้
สถานการณ์ล่าสุดก็สิ้นสุดลงตรงนี้ ต้องติดตามกันต่อไปว่า โมเดอร์นาจะเข้าไทยได้เมื่อไหร่ และถ้าเข้าแล้วจะกระจายวัคซีนอย่างไร จึงจะมีประสิทธิภาพที่สุด
อีกหนึ่งข้อสังเกตที่น่าสนใจก็คือ ในประเทศไทย มีวัคซีน 5 ยี่ห้อที่ฉีดกันไปแล้ว คือแอสตร้าเซเนก้า, ซิโนแวค, ซิโนฟาร์ม, ไฟเซอร์ และ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสันอีกส่วนหนึ่ง
ขณะที่โมเดอร์นา ทั้งๆ ที่องค์การอนามัยโลก รับรองวัคซีนไปแล้วตั้งแต่ 30 เมษายน มาจนวันนี้จะครบ 6 เดือนเต็มแล้ว แต่คณะทำงานในไทย ยังไม่สามารถนำเข้าได้ และยังไม่เริ่มการฉีดเลยแม้แต่โดสเดียว