หมอยง เผยข้อมูลวัคซีนกระตุ้นเข็ม3 ในสูตรต่างๆของประเทศไทย
วัคซีนกระตุ้นเข็มสาม จะใช้ mRNA และไวรัสเวกเตอร์ เช่น Pfizer (PZ), Modena (MN), AstraZeneca (AZ)
วันนี้จะให้ดูข้อมูลการกระตุ้นด้วย mRNA ในสูตรต่างๆของประเทศไทย ที่ใช้ เช่น เชื้อตาย 2 เข็ม SP-SP, SV-SV, SV-AZ, AZ-AZ ซึ่งเป็นสูตรหลักที่ใช้ในประเทศไทย เป็นการศึกษาทางคลินิกที่มีการบันทึกอาการข้างเคียงอย่างละเอียด และกำหนดให้การได้เข็ม 2 ต้องห่างจากการกระตุ้นเข็ม 3 ที่ 5-7 เดือน ทุกรายมีอายุเกิน 18 ปีขึ้นไป มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ข้อจำกัดของการศึกษานี้กลุ่ม AZ-AZ อายุจะสูงกว่ากลุ่มอื่นตามสถานการณ์จริงของประเทศไทย การศึกษานี้จะตรวจเลือดก่อนฉีดเข็มกระตุ้น หลัง 2 สัปดาห์ และ 4 สัปดาห์ และวางแผนที่จะติดตามที่ 90 วันหลังเข็ม 3 อีก 1 ครั้ง
Moderna ที่ใช้เป็นเข็มกระตุ้นในอเมริกา จะให้เพียงครึ่งโดส เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการกระตุ้นหลังได้รับวัคซีนไฟเซอร์ Moderna หรือ J&J ที่เป็นไวรัส เวกเตอร์
ในทำนองเดียวกัน ประเทศอังกฤษ ก็ใช้วัคซีน Moderna เข็มกระตุ้นตามหลัง AZ ด้วยขนาดครึ่งโดส เพื่อลดอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้น จะเห็นได้ว่าอาการข้างเคียงที่พบได้บ่อยคือเจ็บบริเวณที่ฉีด ยกแขนไม่ขึ้น ปวดเมื่อยเนื้อเมื่อยตัว ปวดศีรษะ อาเจียน ท้องเสีย และที่สำคัญในเข็มกระตุ้น จะพบการโตของต่อมน้ำเหลืองที่ใต้แขน มากกว่าเข็มที่ 1 และ 2 (ข้อมูลของ US CDC)
ดังนั้นจึงมีการศึกษาขนาดครึ่งโดสด้วย ข้อมูลที่ให้เห็นเบื้องต้นนี้เป็นการวัดระดับภูมิต้านทาน 2 วิธี คือ วัด total immunoglobulin ต่อ RBD หน่วยจะเป็น unit/ml, และ specific IgG ต่อ RBD ของสไปรท์โปรตีน หน่วยจะเป็น BAU/ml
อย่างไรก็ตามถ้าดูระดับภูมิต้านทานแล้วทุกกลุ่มก็ยังอยู่ในระดับสูง ขณะนี้กำลังรวบรวมข้อมูล PZ-PZ-PZ 3 เข็ม (triple P) ในประเทศไทย เพื่อนำมาเปรียบเทียบ (ขณะนี้ได้จำนวนหนึ่งแล้ว) และกำลังศึกษา AZ-AZ-AZ หรือที่เรียกว่า triple A อีกด้วย เพื่อให้ได้ข้อมูลทุกกลุ่มที่มีการใช้ในประเทศไทย ส่วนกลุ่ม MN-MN-MN หรือ triple M คงจะหายากหรือต้องรออีกนาน การให้ mRNA ในขนาดครึ่งโดส โดยเฉพาะ MN ผลที่ได้ไม่ได้แตกต่างกันมากกับการให้ขนานเต็มโดส เพราะภูมิขึ้นสูงมาก และที่เห็นได้ชัดคืออาการข้างเคียงน้อยกว่า
ในอดีตที่ผ่านมาการศึกษาระดับภูมิต้านทาน มีความสัมพันธ์ที่ดี กับ sVNT ในสายพันธุ์ต่างๆ ดังที่ได้มีการเผยแพร่ในวารสารนานาชาติไปแล้ว
ข้อมูลดังกล่าว จะมีการเผยแพร่ในวารสารต่างประเทศต่อไป และจะเป็นประโยชน์อย่างมากในการบริหารจัดการวัคซีนในประเทศไทย ให้เหมาะสม และเกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับประเทศไทย โดยการศึกษาในประเทศไทย มากกว่าที่จะใช้ข้อมูลจากต่างประเทศ และในขณะเดียวกันก็มีความจำเป็นที่ต้องศึกษาจากสถานการณ์จริง ถึงประสิทธิภาพในการป้องกันโรค"