หมอหนุ่มเจ้าของเพจ สู้ดิวะ เผยหนังสือ6เล่ม ช่วยเยียวยาจิตใจในการต่อสู้มะเร็งร้าย


หมอหนุ่มเจ้าของเพจ สู้ดิวะ เผยหนังสือ6เล่ม ช่วยเยียวยาจิตใจในการต่อสู้มะเร็งร้าย


จากกรณี คุณหมอกฤตไท ธนสมบัติกุล อายุ 28 ปี ได้เปิดเพจเฟซบุ๊ก "สู้ดิวะ" เพื่อเล่าประสบการณ์การป่วยเป็น "มะเร็งปอดระยะสุดท้าย" ทั้งที่อายุน้อย ชอบออกกำลังกาย และมีสุขภาพที่แข็งแรง ต่อมาโลกออนไลน์ได้ส่งกำลังใจให้คุณหมอกันเป็นจำนวนมาก

ล่าสุดในวันคริสต์มาสที่ผ่านมาคุณหมอได้อัพเดตโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กบอกเล่าและอัปเดตการต่อสู้กับมะเร็งร้ายรวมไปถึง หนังสือ6 เล่ม ที่มีส่วนช่วยเยียวยาจิตใจให้สงบและปล่อยวางมากขึ้นได้

สวัสดีปีใหม่ครับ

.
สามเดือนแล้วหลังจากที่ผมถูกวินิจฉัยเป็นมะเร็งปอดระยะสี่

เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ใช้ชีวิตได้เป็นชีวิตที่สุดเลยครับ ทั้งที่ก่อนหน้านี้คิดว่าตัวเองใช้ชีวิตได้ดีแล้ว
แต่พอป่วยนี่ สามารถตัดสินใจเลือกอะไรในชีวิตได้ดีขึ้นเยอะเลยครับ เหมือนได้ปลดล็อกตรรกะการคิดใหม่
.
เมื่อสามเดือนก่อน ผมไม่กล้าคิดถึงช่วงเวลาที่อากาศเย็น มีต้นคริสมาสต์ที่ประดับไฟ ผู้คนออกมาแต่งตัวสีเขียวแดง และแลกของขวัญกัน รวมถึงการที่จะได้มาสวัสดีปีใหม่ทุกคนเช่นนี้ครับ
.
ชีวิตผมสั้นมาก หมายถึงว่า ผมมองชีวิตตัวเองเป็นเกมส์ชีวิตสั้นๆ เล่นรอบละสามสัปดาห์ เริ่มที่ไปนอนโรงพยาบาลเพื่อรับยาเคมีบำบัดและยากระตุ้นภูมิ พอได้ยาแล้วก็รับมือกับผลข้างเคียง ระวังไม่ให้ติดเชื้อหรือมีอะไรแทรกซ้อน หลังจากอาการนิ่งก็เตรียมร่างกายเพื่อรับยาครั้งต่อไปในอีกสามสัปดาห์ต่อไป ไม่ได้วางแผนอะไรที่เกินเดือนเลย เพราะมันไม่มีอะไรแน่นอนเลย ลองคิดภาพว่า ผมตื่นมาแล้วต้องลองขยับแขนขา ลองถูมือดูว่าชาไหม และลองลืมตามาเช็กว่าตัวเองยังมองเห็นดีอยู่นะ ผมคงไม่กล้าคิดถึงงานปีใหม่หรืองานวันเกิดตัวเอง
.
ชีวิตในแต่ละวันของผมจึงช้าลง แต่ก็ละเอียดขึ้นมากเช่นกัน เพราะต้องสังเกตทุกอาการที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ต้องลงรายละเอียดกับการเลือกอาหาร เลือกน้ำ การออกกำลังกาย กินยา และจัดการกับสิ่งแวดล้อมให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ อย่างน้ำประปาที่เคยใช้ตามปกติ พอมากรองดูก็เพิ่งรู้ว่ามันสกปรก และอากาศทีเหมือนจะเป็นสิ่งจำเป็นแรกสุดของมนุษย์ ล่าสุดก็ต้องติดเครื่องแรงดันบวกเพื่อดันอากาศที่สกปรกออกจากห้อง เราอยู่ในยุคสมัยที่ต้องซื้ออากาศสะอาดหายใจแล้วจริงๆครับ
.
แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือการจัดการกับสภาพจิตใจ เพราะสิ่งที่มากระแทกชีวิตผมตอนนี้มันแรงมากพอที่ผมจะต้องลงทุนเพื่อพัฒนาสุขภาพจิตตัวเองแล้ว ผมมีเวลาและเหตุผลให้กับตัวเองมากพอ ที่จะทุ่มเทกับการศึกษาศาสตร์ของจิตใจ ทั้งทางศาสนา และทางจิตวิทยา
.
ที่ผ่านมาผมเองก็เหมือนวัยรุ่น productive วัยใกล้สามสิบปีทั่วไปครับ เรื่องศาสนา เรื่องจิตใจ ความสงบ การจัดการกับความคิด อารมณ์ความรู้สึกตัวเอง ดูเป็นสิ่งที่เป็นความเชื่อ ไม่มีหลักการ และไกลตัวมากๆ เมื่อเทียบกับ งาน เงิน สิ่งของ ชื่อเสียง ที่ต้องไขว่คว้าในแต่ละวัน เอาเป็นว่าเดินเข้าไปในร้านหนังสือ พวกหนังสือที่วางหน้าร้านแนวพัฒนาตัวเอง การลงทุน how to นั่นนู่นนี่ ผมคิดว่าผมเคยอ่านและเข้าใจหลักการเป็นส่วนใหญ่แล้วครับ ช่วงก่อนที่จะป่วยก็มีช่วงที่เดินเข้าไปแล้วไม่รู้จะซื้ออะไรมาอ่านแล้วเหมือนกัน

แต่ในช่วงที่ป่วยนี้ ผมเจอกับโจทย์ชีวิตใหม่ ซึ่งหนังสือก็ยังคงเป็นทางออกแรกๆที่ผมเลือกจะมองหา แต่การเดินเข้าไปในร้านหนังสือชื่อดังเหล่านั้น ไม่มีหนังสือที่สามารถตอบคำถามในชีวิตผมในตอนนี้ได้เลย ผมไม่เห็นว่าการมีทักษะการลงทุน การเริ่มทำธุรกิจ ความเป็นผู้นำ เป็นยอดนักขาย เป็นคนเก่งที่คุยเป็น เคล็ดลับจากมหาลัยดัง วิถีการคิดการทำงานของอัจฉริยะ หรือวิธีที่ผมจะอยู่รอดในยุคเอไอ จะทำให้ผมลดความกังวล หรือทำให้ผมมีความสุขในสถานการณ์ที่ผมกำลังจ้องหน้ากับความตายแบบนี้ได้เลย
.
เอาจริง หนังสือในบ้านเราไม่ได้มีทางเลือกขนาดนั้น มันก็มีบ้าง แต่หายากและมีส่วนน้อยมากๆครับ แล้วผมไม่ใช่สไตล์ที่อ่านหนังสือนิยาย หรือแนวสะท้อนอารมณ์ ผมยังต้องการความสนุกในการอ่านแล้วคิดตามหลักการเหตุผลที่น่าสนใจ
.
ผมกำลังมองหาหนังสือที่พูดถึงชีวิตจริงๆ การพัฒนาจิตใจให้รับมือกับความตาย หนังสือที่ไม่ได้ติดอาวุธให้เราไปสู้ในสังคมทุนนิยม แต่ผมมองหาหนังสือที่ติดอาวุธให้ผมไปสู้กับไอ้ความกังวลในใจผม ไปสู้กับความคิดว่าถ้าโรคกำเริบ ถ้าอาการแย่ลง คือผมเป็นหมอที่ดูแลคนไข้ระยะสุดท้ายครับ ผมแทบจะรู้ทุกอาการที่จะเกิดจากภาวะต่างๆ ขั้นตอนการช่วยเหลือ หัตถการการยื้อชีวิต รวมถึงอาการในช่วงสุดท้าย

ผมต้องที่จะรับมือกับสภาวะจิตใจนี้โดยที่ไม่อาศัยเพียงความเชื่อ แต่อยากได้หลักการที่เป็นเหตุเป็นผลได้ ไม่เอาบทสวดภาวนาหรือพิธีการที่ผมเองอาจเข้าไม่ถึง ไม่ได้ตามหาหนังสือศาสนาขั้นสูงเพราะผมคงอ่านไม่เข้าใจ มันเลยเหลือหนังสือที่อยู่ตรงกลางนี้น้อยมากๆในชั้นหนังสือบ้านเรา (เท่าที่ผมทราบ)
.
ในช่วงที่ผ่านมา ผมได้อ่านหนังสือสองสามเล่มที่ช่วยให้ผมมีมุมมองในการรับมือกับปัญหาเหล่านี้ เรียกว่าเป็นการติดอาวุธให้ตัวเองไปสู้กับตัวเองข้างใน เมื่อก่อนผมเอาแต่ติดอาวุธไปสู้โลกข้างนอก สู้กับ Disruption สู้กับ AI
แต่อันนี้เป็นโจทย์อีกแบบหนึ่งเลยที่ไม่ต่างกับทักษะด้านอื่นๆในชีวิต คือถ้าเราไม่ฝึกเราจะทำไม่เป็น แต่ถ้าเราฝึกซ้อมเราจะค่อยๆทำได้ดีขึ้น และวันหนึ่งคงจะเชี่ยวชาญในการรับมือกับสภาวะของจิตใจ รับมือกับความตายได้ดีขึ้น
.
ศาสตร์ทางโลกที่ผมวิ่งตามมาทั้งชีวิตเหมือนพยายามจะบอกว่าเราจะมีชีวิตอยู่ไปตลอด เหมือนกับหลายอย่างในชีวิตมันสามารถกำหนดได้และมั่นคงแน่นอน เราต้องทำอย่างนั้นเพื่อให้ได้อย่างนี้ ต้องสะสมบางสิ่งเพื่อได้บางอย่าง ทำให้เราอยากได้อะไรที่มากขึ้นเรื่อย ต้องเก่งขึ้น ต้องรวยขึ้น
.
แต่ศาสตร์ทางธรรมพยายามจะบอกเราว่า เราต้องตายนะ มันไม่มีอะไรเป็นของเรา และมันไม่มีอะไรแน่นอนเลย
เหมือนเราเข้ามาเล่นเกมส์ สวมบทบาทเป็นตัวละครนี้ จะหยิบอะไรมาใส่ มาสะสมมากแค่ไหน สุดท้ายก็ไม่ใช่ของเราอยู่ดี
แล้วจุดพีคของเกมส์นี้ ที่เราลืมไป หรือพยายามจะไม่มองมันคือ เกมส์นี้มีเวลาหมด ที่พีคกว่า คือไม่มีใครรู้ว่าจะหมดเมื่อไร อาจเป็นพรุ่งนี้เลยก็ได้
.
ใช่ครับ ความจริงที่สุดคือ เราต้องเลิกเล่นเกมส์นี้ในสักวันครับ เราคิดว่าชีวิตเป็นของเรา ทุกอย่างที่เรามี ร่างกายนี้เป็นของเรา แต่เมื่อถึงวันนั้น วันที่เราไม่ได้เป็นคนกำหนด เราไม่มีสิทธิอะไรเลยกับไอ้สิ่งที่เราบอกว่าเป็นของเราครับ และวันนั้นคือ วันตายครับ
เราต้องตายครับ และผมมั่นใจในเรื่องนี้หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ
.
ผมคิดว่าพวกเราส่วนใหญ่คิดถึงความตายน้อยมากๆครับ
เราคิดว่า "คงไม่ใช่เราหรอกน่า" "ยังไม่ถึงเวลา" "ใครจะไปซวยขนาดนั้น"
เพราะมนุษย์เราถูกเซ็ทค่าพื้นฐานมาให้กลัวความตายครับ
มีนักจิตวิทยากล่าวว่า ที่มนุษย์เราต้องทำตัวให้ยุ่งไว้ หรือที่ไม่สามารถอยู่นิ่งๆเฉยๆได้ เพราะมนุษย์กลัวที่จะคิดถึงความตายครับ
เขาว่าศาสตร์ทางโลกทั้งหลายก็เป็นไปเพื่อให้เรายุ่งมากพอที่จะไม่ไปคิดถึงความตายครับ
.
ดังนั้นถ้าเรายอมรับอย่างจริงใจได้ว่า
"เราต้องตายนะเว้ย สุดท้ายเราจะตาย และมันอาจเป็นพรุ่งนี้ก็ได้"
มันจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนมุมมองต่อชีวิตที่สำคัญมากๆจุดหนึ่งครับ
.
เมื่อก่อนผมเป็นคนสุดโต่งคนหนึ่งที่คิดว่า ถ้าเราจะอยู่ในโลกแบบนี้เราต้องแข่งขัน แย่งชิง ต้องเป็นที่หนึ่ง เติบโต ก้าวหน้าแบบนี้ เราจะมาแบบ ธรรมะ เมตตา ปล่อยวางได้ยังไง แต่เอาจริง มันไปด้วยกันได้นะ มันก็เหมือนเราเล่นเกมส์แล้วไปอัพสกิลอีกสายหนึ่งมาเสริมตัวละครแหละครับ
ผมเองก็ไม่ได้ว่าจะทิ้งศาสตร์ทางโลกอะไรครับ นี่ก็ยังเตรียมสอนนักศึกษา วางแผนจะกลับไปทำงานให้ได้เหมือนเดิม ผมก็ยังจ่ายบัตรเครดิต ยังวุ่นวายกับงานเอกสารเพื่อเบิกเงิน กำลังจะออกไปซื้อของขวัญปีใหม่ ผมยังอยากแต่งจักรยาน แต่งงาน และผมยังต้องผ่อนบ้านครับ
แน่นอนว่ามีรถขับปาดหน้าผมก็จัดไปชุดหนึ่งก่อนเหมือนกันครับ
.
กติกาและเงื่อนไขในการเล่นเกมส์ชีวิตนี้ก็ยังเหมือนเดิมครับ แต่ผมเริ่มเล่นมันด้วยสกิลเสริมอีกชุดหนึ่ง ซึ่งทำผมมีความสุขมากขึ้นในเกมส์นี้นะ
การหันมาอัพสกิลด้านจิตใจนี้ มันช่วยทำให้ชีวิตผมสงบขึ้น นิ่งขึ้น เวลาเจอปัญหาหรือเจอสิ่งที่ไม่เป็นไปอย่างที่เราต้องการ ผมรับมือกับมันได้ดีขึ้น เข้าใจผู้คนและสิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติเหล่านี้ได้ดียิ่งขึ้น และผมสามารถสบตากับความตายได้ดีขึ้นนิดนึง
ตอนนี้ผมก็ยังทำไม่ได้ ผมยังกลัวตาย
แต่ผมเชื่อว่า ถ้าฝึกไปเรื่อยๆ ผมก็น่าจะทำได้ดีขึ้น
ผมหวังว่าวันหนึ่งผมจะทำใจได้ว่า
.
"ผมรักชีวิตนี้มาก อยากมีชีวิตต่อไปให้นานมากที่สุด แต่ถ้ามันไม่เป็นไปอย่างที่คิด ผมก็โอเคนะ"
.
ผมเพียงแค่อยากฝึกตัวเองให้วันหนึ่งไปอยู่ในจุดที่
ณ วันที่ความตายมาหาผมจริง ผมน่าจะพร้อมที่จะเจอมันมากกว่าผมตอนที่ไม่ได้ฝึกมาก่อน
ผมหวังว่า ผมจะนอนหรือนั่ง ยิ้มรับมัน แล้วก็ "โอเค มาแล้วเหรอ" อยากจะไปแบบสงบๆ นิ่งๆ คูลๆน่ะครับ
.
สิ่งเหล่านี้ ถ้าผมมาคิดและเริ่มฝึกตอนแก่มันไม่น่าทันครับ (สมมติว่าผมอยู่ไปจนแก่ได้จริง) คือผมว่ามันยากนะ การจะยิ้มรับความตายแบบคูลๆเนี่ย
สมมติผมวิ่งตามโลกทุนนิยมนี่ไปจนเป็นสุดยอดเป็นศาสตราจารย์เชี่ยวชาญพิเศษที่มีตำแหน่งนำหน้าชื่อยาวกว่านามสกุลตัวเอง แล้วผมเริ่มเจ็บป่วยตอนนั้น คิดได้ตอนนั้น ว่าผมไม่มีทักษะในการรับมือกับความตายเลย จิตใจผมไม่เคยถูกเทรนมาเลย ผมคงจะลนมากๆ เพราะเวลามันเหลือให้ฝึกน้อยแล้ว แต่คราวนี้ผมดันมาเจอการกระตุ้นอย่างแรงในอายุน้อยขนาดนี้ ที่ได้มีโอกาสหันมาเริ่มอัพสกิลที่สำคัญไม่แพ้สกิลทางโลก
.
ผมว่าผมโชคดีนะ
.
แต่คุณ น่าจะโชคดีกว่า
.
ถ้าคุณอายุใกล้ๆกับผม และคุณมีปอดที่ไม่ได้มีก้อนขนาดเท่ากำปั้น รวมถึงสมองคุณก็ไม่ได้มีก้อนกระจายอยู่ในนั้น
.
แล้วคุณได้รับโอกาสเดียวกับผม ในการหันมาพัฒนาจิตใจ และหันมองความจริงที่โคตรจริง ว่า เราต้องตายทุกคน
.
ให้เวลาพิจารณามันอย่างจริงจัง ตกตะกอนชีวิตตัวเองหลังจากที่พิจารณาตัวแปร "ความไม่แน่นอน" และ "ความตายของเรา" เข้าไปแล้ว
ผมว่าคุณน่าจะได้สมการชีวิตใหม่ เพื่อเล่นเกมส์นี้ต่อไปในแบบของคุณ ตราบเท่าที่เวลาคุณยังเหลือ
เพราะผมเอง ก็ยังเป็นผู้เล่นในเกมส์นี้ ผมก็เป็นเพื่อนร่วมทางคนหนึ่งที่กำลังมุ่งหน้าไปที่จุดจบเดียวกัน
แม้ผมจะเป็นโรคนี้ แต่เราไม่ได้ต่างกันในกติกาข้อที่ว่าเราไม่รู้ว่า เกมส์จะหมดเวลาเมื่อไรเลยครับ
.
โอ้ ผมลืมเรื่องสำคัญที่สุดไป ผมตอบสนองต่อการรักษาดีมากๆ ก้อนใหญ่ที่ปอดขวาเล็กลง ก้อนเล็กที่ปอดซ้ายก็หายไปหมด ล่าสุดผมฟิตกว่าสามเดือนที่แล้วอีก ตอนนี้เหมือนได้ปอดใหม่เลยครับ เดี๋ยวรอดูก้อนในสมองช่วงต้นปีอีกที แต่หวังว่าจะไปในทิศทางเดียวกัน
.
สรุปคือ สามเดือนนี้ผมชนะ ในเกมส์ที่มีโอกาสแพ้มากกว่า
โอเค ไอ้โรคนี้ก็ยังน่ากังวล แต่ผมว่าผมมีสิทธิที่จะฉลองการชนะในรอบนี้นะ
.
เพราะความจริงก็คือ ผมไม่รู้หรอกว่า การติดตามรอบหน้ากับความตายอันไหนจะมาหาผมก่อน
ความเป็นไปได้ กับ ความน่าจะเป็น มันเป็นคนละอย่างกันครับ
แม้ความน่าจะเป็นมันจะน้อยแค่ไหน ก็ไม่ได้แปลว่ามันเป็นไปไม่ได้ครับ
.
และตอนนี้ผมเอง
ได้เรียนรู้ว่าความสงบคือความสุข
ได้เรียนรู้ว่าชีวิตที่เรียบง่ายคือชีวิตที่คุ้มค่า
ได้เรียนรู้ว่าชีวิตธรรมดาคือชีวิตที่มีความหมาย
.
และ
ได้เรียนรู้ว่าการแต่งห้องวันคริสต์มาสต์ และการเลือกคัพเค้กลายซานต้าไปฝากคนอื่นมันก็สนุกกว่าที่คิด
.
Merry Christmas และ สวัสดีปีใหม่ครับ
...
.
.
หนังสือที่ผมอ่านในช่วงที่ผ่านมา
- "Advice for Future Corpses (and Those Who Love Them)" by Sallie Tisdale
- "How We Live Is How We Die" by Pema Chodron
- "How to Stop Worrying and Start Living" by Dale Carnegie
- "The Last Lecture" by Randy Pausch
- "When Breath Becomes Air" by Paul Kalanithi
- "แก่นพุทธศาสตร์" หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ
- "สิ่งเดียวที่จัดการได้คือใจของเรา" และ "เตรียมตัวสอบไล่วิชาชีวิต" พระไพศาล วิสาโล



หมอหนุ่มเจ้าของเพจ สู้ดิวะ เผยหนังสือ6เล่ม ช่วยเยียวยาจิตใจในการต่อสู้มะเร็งร้าย


หมอหนุ่มเจ้าของเพจ สู้ดิวะ เผยหนังสือ6เล่ม ช่วยเยียวยาจิตใจในการต่อสู้มะเร็งร้าย


หมอหนุ่มเจ้าของเพจ สู้ดิวะ เผยหนังสือ6เล่ม ช่วยเยียวยาจิตใจในการต่อสู้มะเร็งร้าย


หมอหนุ่มเจ้าของเพจ สู้ดิวะ เผยหนังสือ6เล่ม ช่วยเยียวยาจิตใจในการต่อสู้มะเร็งร้าย

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
คุณ : กำลังใจ
สถานะ : บุคคลทั่วไป
IP : 171.96.30.137

171.96.30.137,,ppp-171-96-30-137.revip8.asianet.co.th ความคิดเห็นที่ 1 [อ้างอิง]
“ใช้ชีวิตให้เสมือนว่าพรุ่งนี้ท่านจะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว เรียนรู้ให้เสมือนว่าท่านจะอยู่ในโลกนี้ต่อไปไม่มีวันสิ้นสุด” …มหาตมะคานธี…


[ วันจันทร์ ที่ 26 ธันวาคม 2565 เวลา 18:49 น. ]
คุณ : Scenic Riversider
สถานะ : บุคคลทั่วไป
IP : 223.207.231.230

223.207.231.230,,mx-ll-223.207.231-230.dynamic.3bb.in.th ความคิดเห็นที่ 2 [อ้างอิง]
อ่านจนจบตั้งใจอ่านที่ท่านเขียน จุกที่คอเข้าใจแต่บรรยายไม่ถูกว่าควรบอกท่านว่าอย่างไร ความรู้สึกของท่านไม่มีใครหยั่งลึก ภายในได้ดีเท่ากับตัวท่านเอง..ปรารถนาที่ดีขอให้เกิดขึ้นกับท่าน ในช่วงเวลาที่ดูเหมือนกับมันช่างผ่ายไปเร็วเกินกว่าที่จะอยากจะหยุดมันใว้.


[ วันอังคาร ที่ 27 ธันวาคม 2565 เวลา 09:19 น. ]
คุณ : สุพิน
สถานะ : บุคคลทั่วไป
IP : 118.172.66.154

118.172.66.154,,node-d5m.pool-118-172.dynamic.totinternet.net ความคิดเห็นที่ 3 [อ้างอิง]
เป็นกำลังให้ค่ะคุณหมอ สู้ สู้ สู้


[ วันอังคาร ที่ 27 ธันวาคม 2565 เวลา 16:08 น. ]
คุณ : มี่
สถานะ : บุคคลทั่วไป
IP : 101.51.173.179

101.51.173.179,,node-yb7.pool-101-51.dynamic.totinternet.net ความคิดเห็นที่ 4 [อ้างอิง]
ด่าจ้าวต่อสิคุณหมอ


[ วันอังคาร ที่ 27 ธันวาคม 2565 เวลา 17:27 น. ]
คุณ : สามกีบควายแดง
สถานะ : บุคคลทั่วไป
IP : 159.192.201.156

159.192.201.156,,159.192.201.156 ความคิดเห็นที่ 5 [อ้างอิง]
โทษรัฐบาลต่อไปเหอะนะ


[ วันพุธ ที่ 28 ธันวาคม 2565 เวลา 14:27 น. ]
คุณ : หวังว่าจะคิดได้
สถานะ : บุคคลทั่วไป
IP : 58.8.153.121

58.8.153.121,,ppp-58-8-153-121.revip2.asianet.co.th ความคิดเห็นที่ 6 [อ้างอิง]
ถ้าเลิกคิดร้ายกับคนที่คุณไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว มันก็จะเป็นบุญกุศลกับตัวคุณให้หายจากโรคร้ายนี้ได้


[ วันพฤหัสบดี ที่ 5 มกราคม 2566 เวลา 17:25 น. ]
คุณ : u1766804139
สถานะ : บุคคลทั่วไป
IP : 103.58.148.23

103.58.148.23,,host23.148.thvps.com ความคิดเห็นที่ 7 [อ้างอิง]
ขอขอบคุณสำหรับข้อมูล


[ วันเสาร์ ที่ 18 มีนาคม 2566 เวลา 01:50 น. ]
รวมข่าวในกระแส คลิ๊กเลย ++
กระทู้เด็ดน่าแชร์