หนุ่มขี้เหร่ สุดช้ำใจ!! ถูกรุ่นพี่ข่มขืน จนอวัยวะเพศฉีก ซ้ำร้ายสังคมรอบข้างไม่เชื่อ
หน้าแรกTeeNee ข่าวร้อนโลกโซเชียล เป็นข่าว หนุ่มขี้เหร่ สุดช้ำใจ!! ถูกรุ่นพี่ข่มขืน จนอวัยวะเพศฉีก ซ้ำร้ายสังคมรอบข้างไม่เชื่อ
การถูกข่มขืนไม่ใช่เรื่องตลก ไม่ใช่สิ่งที่น่าหัวเราะเพราะผู้ที่ถูกกระทำบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจ ดังสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นตราบาปไปชั่วชีวิตของคนๆนึง ที่ไม่ว่าจะลืมอย่างไรก็คงจะลืมไม่ลง
จากกรณีผู้ใช้งานเว็บไซต์พันทิป สมาชิกหมายเลข 3433451 ได้แชร์ข้อความอันน่าสะเทือนใจและน่าเห็นใจ โดยกล่าวว่า ตนเองนั้นได้ไปเป็นอาสาสมัครค่ายๆหนึ่ง ซึ่งเป็นโครงการบำบัด(ไม่ประสงค์ระบุชื่อ) ทั้งนี้เจ้าของกระทู้เล่าว่าสิ่งที่ได้นำมาเล่านั้นได้รับการอนุญาตแล้ว ใจความสำคัญระบุไว้เพียง เด็กชายคนหนึ่งซึ่งเป็นเกย์ ได้แอบหลงรักรุ่นพี่คนหนึ่ง แต่ตนเองนั้นไม่ใช่คนหน้าตาดี จนกระทั่งได้มีโอกาสพูดคุยทำความรู้จักกับรุ่นนี้คนดังกล่าวมากขึ้น จากนั้นไม่นานได้มีการนัดไปที่บ้านของรุ่นพี่คนดังกล่าวและ "ถูกข่มขืน" อวัยวะเพศฉีกขาด ร่องรอยการทำร้ายร่างกายเมื่อไม่จำยอม ความสุขที่ไม่ได้ต้องการ ความปวดร้าวที่เกิดขึ้นจากคนที่ไว้ใจกลับทำร้ายความบริสุทธิ์ใจที่มอบให้ด้วยตราบาปที่ทิ้งไว้กับร่างกาย ที่แม้บาดแผลจากการถูกกระทำจะจางหายตามกาลเวลา แต่ในความรู้สึกมันจะยังคงอยู่กับเด็กคนนี้ตลอดไป
ที่แย่ไปกว่านั้นคือการที่ไม่มีใครเชื่อและไม่มีใครพร้อมจะรับฟัง แม้แต่ครอบครัวก็ยังไม่เชื่อ เพื่อนๆที่โรงเรียนก็หาว่าโกหก สังคมรอบตัวตัดสินเรื่องทั้งหมดเพียงเพราะเด็กคนนี้หน้าตาไม่ดี และทำให้เด็กคนนี้ซ้ำเติมตัวเองตลอดมา ซึ่งในปัจจุบันนี้ทราบว่ามีอาการดีขึ้นตามลำดับ สภาพจิตใจดีขึ้นแม้จะยังคงไม่ค่อยพูดกับใคร และเป็นเด็กที่อยู่ในค่ายอาสาต่างๆ พร้อมทั้งสามารถสอบติดการบินพลเรือน ของสถาบันแห่งหนึ่ง จากนี้และต่อไปข้างหน้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสิ่งรอบๆข้างๆจะสามารถเรียกความสดใสของเด็กคนหนึ่งซึ่งจมอยู่กับความทุกข์มาหลายปีให้ดีขึ้นได้ เชื่อว่าสุดท้ายแล้วเวลาจะช่วยเยียวยาทุกสิ่ง
โดยระบุข้อความในโพสต์ทั้งหมดว่า
"เริ่มก่อนว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับผม แต่เกิดขึ้นกับน้องๆที่ผมได้ไปเป็นพี่อาสาดูแลนะครับ (เป็นโครงการบำบัดโครงการหนึ่งที่ขอไม่กล่าวถึง) และเรื่องนี้ได้รับการอนุญาตแล้วในปัจจุบัน ผมเคยได้พูดคุยกับน้องคนหนึ่งถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเขา เป็นเด็กอายุวัยประมาณสิบเจ็ดสิบแปดครับ เริ่มจากตัวน้องมีอาการกลัวผู้ชายด้วยกัน วันแรกๆที่เราเข้าไปคุยด้วยเขาไม่สบตา ไม่พูด และมีท่าที่หวาดกลัวครับ คือน้องไม่พร้อมจะรับมือเราเลย แรกๆผมเลยเริ่มจากการสร้างสันทนาการ ดีดกีต้าร์ ร้องเพลงให้ฟัง น้องดูมีการตอบสนองมากขึ้นแม้จะยังไม่ยอมพูด เริ่มให้เราเข้าไปทำความรู้จัก
เขาแนะนำตัวง่ายๆไม่กี่ประโยค แล้วก็บอกกับเราว่าขอบคุณที่มานั่งเป็นเพื่อนเขา (เด็กๆแต่ล่ะคนจะมีพี่ๆอาสาคอยดูแล 2-3คนต่อเด็กหนึ่งคน แต่จากที่ได้อ่านประวัติฯมาตอนคัดเลือกเด็กๆแต่ล่ะคนในความกำกับ ผมขอพี่ๆในกลุ่มอาสาไปนั่งคุยกับน้องคนเดียว) น้องยังไม่ยอมพูดอะไรครับ ผมไม่ถาม และไม่ทำให้น้องลำบากใจ น้องไม่อยากพูดผมก็นั่งเล่าเรื่องของผมไป เรื่องตลกๆในชีวิตที่เคยเจอมา เราทำความรู้จักกันผ่านเพลงและประโยคที่ตอบโต้กันไป จนจบวันแรกน้องยังไม่เล่าอะไรครับ แต่สำหรับผมถือว่าคืบหน้าขึ้นอีกนิด ผมเลยถอยกลับและบอกกับน้องว่าจะมาใหม่อีกครั้งในอาทิตย์หน้า
อาทิตย์ต่อมาผมซื้อหนังสือไปฝากน้องหนึ่งเล่มเป็นเรื่องสั้นตลกๆ เรานั่งเล่นนั่งคุยกันจนหมดเวลาสันทนาการในสัปดาห์นี้ น้องมีอาการที่ดีขึ้น ยิ้มขึ้นมานิดหน่อยจากตอนแรกที่รักษาระยะห่างจากทั้งผมและพี่ๆคนอื่นๆที่มาด้วยกัน น้องยังไม่เล่าเรื่องอะไร และผมไม่ซักถามอะไรเช่นเดียวกัน
อาทิตย์ต่อมาอีกครั้งก่อนอาทิตย์สุดท้ายจะหมดโครงการของพวกผม ผมนั่งคุยกับน้องเรื่องความฝันในอนาคต น้องอยากเรียนการบินครับ เขาบอกผมว่าอยากเป็นกัปตัน ผมหัวเราะแล้วบอกว่าเขาเป็นได้แน่ ถ้าตั้งใจพยายามให้กับการศึกษา เราคุยกันไปคุยกันมาจนมาถึงจุดหนึ่งที่น้องหลุดปากออกมาว่า ถ้าทุกคนเป็นแบบผมได้น้องคงไม่ต้องกลัวอะไร ผมเลยถามเขากับว่า แล้วเขากลัวอะไร?
น้องเงียบ ผมเลยเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแต่น้องเงียบไปนานก่อนจะเปิดปากพูดกับผม เขาถามว่าว่ารู้ใช่ไหมว่าเขาเคยโดนข่มขืน ผมพยักหน้าไม่พูดปัด น้องเขาเงียบอีกครั้ง ผมเลยบอกต่อว่าถ้าไม่สบายใจก็ไม่ต้องเล่า มันไม่ใช่เรื่องผิดอะไรถ้าเราจะลืมเรื่องแย่ๆที่ผ่านไปแล้ว เขาร้องไห้ครับ และเขาถามผมว่าเชื่อเขาจริงๆเหรอว่าเขาโดนข่มขืน เชื่อจริงๆใช่มั้ย ผมพยักหน้าและบอกเขาว่าผมเชื่อเขานะ น้องร้องไห้หนักขึ้นไปจนผมต้องลูบหลัง เอาน้ำเอาท่าให้กิน ก่อนจะนั่งเงียบกันไป แต่ถึงที่สุดแล้วน้องก็ยอมเปิดใจยอมเล่าให้ฟังครับ
น้องเล่าว่าที่ไม่อยากเล่าให้ใครฟังเพราะน้องกลัวคนอื่นไม่เชื่อ กลัวหาว่าน้องโกหก เพราะน้องเคยเล่าให้คนใกล้ๆตัวฟังแล้วเขาหาว่าน้องโกหก น้องเล่าว่าเพราะตัวเองหน้าตาธรรมดาๆ ธรรมดาๆในที่นี้คือน้องเป็นเด็กผิวสองสีครับ หน้าตาและบุคลิกภาพเหมือนคนทั่วไปเพียงแต่น้องจะระแวงๆและนอนไม่ค่อยหลับ น้องบอกว่าคนที่ฟังสิ่งที่น้องเล่าปลักใจเชื่อไปว่าน้องโกหกเพื่อเรียกร้องความสนใจ ผมบอกว่าคนอื่นไม่เชื่อไม่เป็นไร แต่ผมเชื่อเขานะอยากให้เขาสบายใจตรงนี้ เขาร้องไห้อีกครั้งและเล่าไปทั้งแบบนั้น
น้องเป็นเกย์และชอบรุ่นพี่คนหนึ่งเรียกว่าก็ปลื้มนั้นแหละ จนกระทั้งน้องได้มีโอกาสพูดคุยทำความรู้จัก น้องบอกว่าน้องดีใจที่เหมือนเขาสนใจเรา แต่น้องไม่ได้อยากมีอะไรด้วย วันที่รุ่นพี่คนนั้นนัดไปบ้านน้องโดนข่มขืนครับ เขาเล่าว่าพอไม่ยอมรุ่นพี่คนนั้นก็ซ้อมน้องและพยายามยัดส่วนตรงนั้นเข้ามา น้องบอกว่ามันเจ็บ และน้องไม่ได้มีความสุขเลย ตรงส่วนนั้นของน้องฉีกขาดและมีของเหลวไหลออกมา น้องโดนต่อยเข้าที่หน้าและลำตัว รุ่นพี่คนนั้นทำแบบนั้นจนกระทั้งเขาเสร็จ น้องเล่าว่าน้องโดนบังคับให้ใส่เสื้อผ้า ก่อนมันจะพาน้องไปปล่อยไว้ตรงป้ายรถเมล์แถวนั้น
หลังจากกลับถึงบ้านน้องก็ไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง เล่าเพียงแต่ว่าไปมีเรื่องชกต่อยธรรมดา น้องเล่าว่าน้องไม่สามารถถ่ายหนักได้ในช่วงนั้นเพราะมันแสบและจุกเสียด มันเหมือนมีอาการพะอืดพะอมตลอดเวลาและน้องถ่ายไม่ออก น้องไม่กล้าไปแจ้งความเพราะอับอายซึ่งถ้ามองในมุมนั้นมันคงไม่ผิดอะไรที่น้องจะกลัวและอายจนไม่กล้าเอาเรื่อง เพราะถ้าเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา คนที่เสียมากที่สุดก็อาจจะเป็นตัวน้องเอง
ต่อมาน้องเคยเล่าให้เพื่อนฟังและได้โดนตอกกลับมาว่าเป็นเรื่องที่ไม่จริง (จริงๆคำพูดที่เพื่อนน้องพูดตอบกลับกับน้องมันรุนแรงกว่านี้ค่อนข้างมากนะครับ) เพราะไม่คิดว่าจะมีใครข่มขืนคนที่หน้าตาธรรมดาๆแบบน้อง น้องร้องไห้และเก็บตัวอยู่คนเดียวช่วงหนึ่งจนที่บ้านพาไปหาหมอ และพร้อมแจ้งว่าตรงบริเวณนั้นของน้องมันอักเสบ และต้องกินยารักษาตามวิธีการ น้องเล่าว่าทั้งครอบครัวมีแค่แม่ที่เชื่อในสิ่งที่เขาเล่า คนอื่นๆก็จะพูดทำนองคล้ายๆกับเพื่อนน้องที่ว่า ทำให้ตั้งแต่ตอนนั้นมาน้องไม่กล้าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง และมีอาการหวาดระแวงทุกคนที่เข้าใกล้ จนเกือบจะคิดสั้นฆ่าตัวตายเพราะความกลัวจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนเอง น้องเข้ารับการบำบัดจิตใจและเยียวยาไปตามกระบวนการจนมาเจอพวกผม
จบวันนั้น ต่อมาเป็นอาทิตย์สุดท้ายที่จะได้เจอกัน ผมบอกกับน้องว่าไม่ต้องเป็นห่วง ถ้าต้องการคำปรึกษาสามารถโทรมาหาผมได้เลยนะ หรือทักไลน์ผมมาก็ได้ ผมยินดีพูดคุยกับเขา เขาถามย้ำกับผมอีกรอบว่าทำไมถึงเชื่อเขาไม่เหมือนกับคนอื่นๆที่ไม่เชื่อเขา ผมบอกกับเขาว่าเรื่องแบบนี้มันสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกคนที่โชคร้ายไปเจอกับบุคคลผู้ไม่หวังดี การโดนข่มขืนไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นกับเฉพาะคนหน้าตาดีๆ ถึงเหตุการณ์ตรงจุดๆหนึ่งเรื่องเลวร้ายแบบนี้มีสิทธิ์เกิดขึ้นได้กับคนทุกคน ดังนั้นผมจึงเชื่อในสิ่งที่เขาเล่า เขาฟังผมพูดจบและร้องไห้ บอกกับผมว่าขอบคุณมากๆที่เชื่อเขาวนเวียนไปแบบนั้น
ตลอดระยะเวลา น้องมีอาการที่ดีขึ้นครับ แม้จะยังไม่กล้าจับมือหรือถูกเนื้อต้องตัว แต่นับว่ามีอาการที่ดีขึ้นกว่าอาทิตย์แรกที่เราเจอกัน หลังจากวันนั้นผมก็ยังติดต่อกับน้องเป็นครั้งคราว ถามไถ่ถึงอาการและชีวิตทั่วๆไป ปัจจุบันนี้น้องสอบติดการบินพลเรือนของสถาบันแห่งหนึ่ง มีอาการที่ดีขึ้นกว่าครั้งแรกที่เราเจอกันเยอะมากๆจนเกือบจะหายเป็นปกติ มีบางครั้งที่เราได้เจอกันบ้างตามค่ายอาสาต่างๆและน้องกลายเป็นเด็กค่ายอาสาอีกคนหนึ่ง น้องเล่าให้ผมฟังว่าบาดแผลพวกนั้นยังคงอยู่ตลอดไป น้องไม่ได้ลืม แต่ไม่คิดว่าจำเป็นจะต้องไปกรีดแผลที่ตัวเองมีซ้ำๆ น้องมีแนวคิดที่โตขึ้นมากๆในอีกระดับครับ
...เรื่องของน้องเรื่องหนึ่งที่น่าอดสูใจมากที่สุดคือการที่สังคมตัดสินว่าน้องโกหกเพียงเพราะน้องหน้าตาไม่ดี
ผมอยากจะบอกว่าเรื่องแบบนี้ใครๆก็มีสิทธิ์โดนกันได้ และถ้าเลือกได้ไม่มีใครอยากโดนข่มขืนหรอกนะครับ ไม่ว่าจะผู้หญิงกับผู้ชายหรือผู้ชายกับผู้ชาย การข่มขืนมันไม่ได้สวยงามแบบในหนังในละคร ผู้ที่โดนข่มขืน โดนทั้งทารุณกรรมร่างกายและจิตใจ มันไม่ฟิน ไม่มีความสุขหรอกนะครับที่โดนกระทำอะไรแบบนี้ มันไม่เหมือนกับภาพฝันหรือนิยายวายที่หลายๆคนฟินกันเลย
'เหยื่อ' หลายรายเสียทั้งสุขภาพจิตและสุขภาพใจเพียงเพราะความต้องการและความมักมากของคนๆหนึ่ง ซึ่งผมพูดจริงๆนะผมสาปแช่งคนพันธ์นี้มากๆ และมีอีกเยอะมากที่ไม่ได้รับโทษตามกฎหมายเพราะอะไรหลายๆอย่างจากในบ้านเรา
โดนกระทำทางร่างกายว่าหนักหนาแล้ว โดนกระทำทางด้านจิตใจมันแย่มากกว่านั้นเยอะครับ
อย่าทำตัวเหมือนฆาตกรเพียงเพราะต้องการตอบสนองความปากเปราะของตัวเอง
อยากฝากให้ไอ้พวกปากเปราะทั้งหลายได้ตระนักและคิดบ้างนะครับ คำพูดของคุณบางครั้งก็ไม่ต่างอะไรจากมีดที่ฆ่าคนๆหนึ่งให้ตายทั้งเป็น คุณสามารถเลือกไม่พูดอะไรก็ได้ แต่คุณกลับเลือกจะพูดในสิ่งที่มันทำร้ายคนอื่นออกมา ไม่คิดบ้างเหรอครับว่าคำพูดพวกนั้นมันทำให้คนๆหนึ่งทุกข์ทรมานใจได้มากขนาดไหน เคสนี้เป็นอีกเคสที่เจอแล้วผมหนักใจในรีแอคฯของสังคมที่มีต่อเหยื่อ
โปรดอย่าได้ซ้ำเติมคนที่เป็นเหยื่ออีกเลยนะครับ
ขอบคุณครับ"
สุดท้ายแล้วมีความคิดเห็นต่างๆมากมายเข้ามาแสดงความเห็นใจและบอกเล่าประสบการณ์คล้ายๆกันให้ได้ฟัง แผลจากการถูกทำร้ายทางจิตใจเจ็บเกินกว่าจะเยียวยารักษาให้หายดี นั่นทำให้สังคมควรตะหนักได้ว่า การแสดงความคิดเห็นต่างๆโดยไม่คิดถึงจิตใจผู้อื่นมันได้สร้างบาดแผลในใจของเขามาแค่ไหน "อย่าทำตัวเป็นฆาตกรเพียงเพราะคำพูดที่ไม่ได้ยั้งคิด"
ขอบคุณข้อมูลจากผู้ใช้เว็บไซต์พันทิป : สมาชิกหมายเลข 3433451
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!