ก็มีคนเอาไปแชร์ต่อกันมากมาย จนหลายเพจก็เอาไปลงแชร์กันล้นหลาม
และแน่นอนว่าเมื่อมันเป็นประเด็นที่คนสนใจ เป็นกระแสสังคมไปแล้ว สิ่งที่ตามมาคือ วันนี้มีข้อความอินบ๊อกซ์มาหาผมหลายข้อความมาก
แบ่งเป็น กลุ่มคนที่เห็นใจกับสิ่งที่เกิด และอยากยื่นมือช่วยเหลือ
ซึ่งผมก็ได้ตอบกับทุกคนว่า ผมไม่มีข้อมูลติดต่อแกเลย นอกจากทะเบียนรถ
และอีกกลุ่มหนึ่ง ที่เข้ามาบอกว่า นี่คือกลโกงของมิจฉาชีพ ทั้งคนที่ประสบกับตัว หรือเพื่อนฝูงญาติสนิท แทบทุกข้อความมีรายละเอียด หลักฐานที่ค่อนข้างตรงกันมาก ทั้งข้อมูลเนื้อหา คำพูด รูปพรรณ ซึ่งทำให้ผมค่อนข้างเชื่อได้
ว่า ผมน่าจะตกเป็นเหยื่อ
แต่ผมก็ตอบกลับทุกข้อความไปว่า
"หลังจากเรื่องนี้แพร่ออกไป ก็มีคนอินบ๊อกส์มาบอกผมหลายคน แต่สถานการณ์ตอนนั้นผมเลือกที่จะให้ เพราะถ้าเขาเป็นมิจฉาชีพ เต็มที่ผมก็แค่เสียความรู้สึกที่เขาใช้ความมีน้ำใจเป็นเครื่องมือ แต่ถ้ามันเป็นเรื่องจริง ผมคนรู้สึกบาปมากที่ไม่ยอมช่วย และเมื่อมันเป็นกระแสสังคมไปแล้ว สังคมก็จะตรวจสอบเขา และกรรมจะทำหน้าที่ครับ ผมว่าผมสบายใจที่ทำ และที่สำคัญทำไปแล้วครับ
คิดเข้าข้างตัวเองว่า เด็กนั่นคงมีข้าวกินอีกหลายมื้อครับ
ที่ไม่อยากออกมาแก้ต่าง เพราะกลัวคนในสังคมหวาดกลัวการมีน้ำใจครับ
ผมไม่ได้ลำบากอะไรมากมายครับ"
ซึ่งผมก็หมายความตามนั้นจริงๆ
เรื่องนี้เราได้เรียนรู้สองสิ่งครับ
คือ การได้ช่วยเหลือผู้ที่กำลังลำบาก คือสิ่งที่เราสามารถทำได้ ทำแล้วมีความสุขใจ ขนาดคนที่เข้ามาอ่าน เข้ามาแชร์ ยังรู้สึกดี กับสิ่งที่มันเกิดขึ้นเลยครับ
และในขณะเดียวกัน ก็มีคนใช้สิ่งข้างต้น มาเป็นเครื่องมือในการเบียดเบียน เอาความเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ มาสร้างประโยชน์ให้ตน ก็คงต้องปล่อยให้กรรมทำหน้าที่ เป็นเรื่องของเขา
เป็นอุธาหรณ์ เป็นกรณีศึกษาที่ดีครับ
ผมมิได้ทำผิด โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
ผมว่าผมได้ทำในสิ่งที่ถูก ในเวลาที่ควร
เพราะฉะนั้น ทำไมผมจะต้องอาย ทำไมผมจะต้องท้อ ที่จะทำมันอีก