"ช่วงมีโอกาสได้ทำงานกับพี่ตูนในหมู่ ผมมีโอกาสได้บอกแกว่าผมรู้สึกผิดกับแกและวงBodyslamเสมอ เพราะตอนคอนเสิร์ต Live in Kram ที่ราชมังคลาฯของแก ช่วงท้ายที่ผมแรปในเพลงสติ๊กเกอร์ สายเอียร์มอนิเตอร์ผมเกิดหลุด เป็นเหตุให้ช่วงท้ายของเพลงนี้ผมจะแรปดีเลย์จนในDVDต้องมีการตัดต่อช่วย
พอมีโอกาสแก้ตัวในคอนเสิร์ต Bodyslam13 ปัญหาเดิมก็เกิดซ้ำ สัญญาณเอียร์มอนิเตอร์ของผมและพี่อุ๋ยเกิดขัดข้อง จนเรียกได้ว่ารอบนี้แรปหลุดทั้งเพลง
นี่คือสิ่งที่เป็นปมในใจผมเรื่อยมา มีหลายคืนที่ฝันถึง ผมเฝ้าโทษตัวเองว่าผมทำให้คอนเสิร์ตที่ทุกคนตั้งใจทำทั้งสองครั้งมีริ้วรอย และผมก็ไม่เคยมีโอกาสกล่าวขอโทษแก
เมื่อผมเล่าเรื่องนี้ให้พี่ตูนฟัง แกไม่เพียงไม่โกรธ แต่กลับยิ้มให้อย่างเมตตา บอกกับผมว่าไม่ต้องขอโทษหรอก เราไม่เคยคิดเรื่องนี้เลย
เมื่อคืนในงานเลี้ยงที่ทุกคนอยู่กันครบ อยู่ๆพี่ตูนก็เรียกผมขึ้นเวที เราแจมเพลงแสงสุดท้ายและความเชื่อกันแบบสดๆ สำหรับผมนั้นมันคือโมเม้นท์ที่อธิบายไม่ถูก อะดรีนาลีนมันฉีด ผมแรปอะไรลงไปบ้างก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าหลังจากนั้นบรรยากาศมันพีคมาก มันเป็นโชว์ที่ผมโดดสูง แผดร้อง จนผมรู้สึกว่ามันเป็นโมเม้นท์ที่ยิ่งใหญ่อย่างมากครั้งหนึ่งในชีวิต
ผมลงเวทีมาขอบคุณแก เราไม่ได้คุยอะไรกันมากกว่านั้น แต่ผมเชื่อว่าพี่ตูนเรียกผมขึ้นไปคืนนี้เพื่อแก้ปม
มันคิอปมในใจที่ผมผูกไว้ลงโทษตัวเองนานนับปีจากเรื่องในอดีต
เรื่องบางเรื่องในชีวิต แม้ไม่มีใครคิดโกรธหรือโทษเรา แต่เราเองต่างหากที่ไม่เคยปล่อยวางและให้อภัยตัวเองเลย แต่เมื่อคืนนี้ผมหลับสบายมาก มันเหมือนภูเขาหายไปจากอกลูกหนึ่ง
พี่ตูนบอกว่าเขาคือคนธรรมดา แต่ผมคิดว่าแกยิ่งใหญ่ ความยิ่งใหญ่ของพี่ตูนนั้นเหมือนหินผา แกสงบของแกตามธรรมชาติ ผ่านสายลม แสงแดด มีตะไคร่น้ำเกาะ มีร่มเงา ตั้งตระหง่านแข็งแรง
แต่ไม่เพียงผาจะไม่อวดตนว่ายิ่งใหญ่แล้ว ในมุมหนึ่งของผาก็ยังมีที่ให้นกน้อยเกาะทำรัง
ขอบคุณพี่สำหรับทุกอย่างครับ ผมจะจดจำโชว์เมื่อคืนไว้ตลอดไป"