ก่อนแต่งงาน แม่สามีซื้อทั้งรถ-บ้านให้ แต่พอแม่ฉันได้ยินบางอย่างถึงกับตบโต๊ะบอกว่า ไม่แต่งแล้ว

ก่อนแต่งงาน แม่สามีซื้อทั้งรถ-บ้านให้ แต่พอแม่ฉันได้ยินบางอย่างถึงกับตบโต๊ะบอกว่า ไม่แต่งแล้ว

โบราณว่าไว้ การที่คนสองคนจะครองคู่กัน จำเป็นต้องผ่านการทดสอบและความท้าทายมาก่อน ถึงจะแต่งงานกันได้ แต่ก็มีอีกหลายๆคู่ที่ถึงแต่งไปแล้วก็ยังทะเลาะกันไม่หยุด ถึงขนาดกลายเป็นศัตรูกันเลยก็มี..

ก่อนแต่งงาน แม่สามีซื้อทั้งรถ-บ้านให้ แต่พอแม่ฉันได้ยินบางอย่างถึงกับตบโต๊ะบอกว่า ไม่แต่งแล้ว

เมื่อไม่นานมานี้เว็บไซต์ต่างประเทศได้นำเสนอเรื่องราวของชาวเน็ตท่านหนึ่ง โดยเรื่องราวมีอยู่ว่า.. เราชื่อ "อาหยุน" รู้จักกับอาเฟิงแฟนหนุ่มจากที่ทำงาน มองตาปิ๊งปั๊งแล้วก็ตัดสินใจคบกัน ความสัมพันธ์ของเราสองคนค่อนข้างมั่นคง เนื่องจากเราสองคนเช่าบ้านอยู่ในเมืองด้วยกันทั้งคู่ ตอนแรกก็ต่างคนต่างเช่า แต่พอความสัมพันธ์มั่นคง พวกเราก็ย้ายมาอยู่ด้วยกัน พอแม่รู้ ท่านก็ไม่ได้พูดอะไร บอกแค่ว่าต้องป้องกันดีๆ อย่าท้องก่อนแต่ง เพราะไม่งั้นเรื่องจะยากขึ้น

ก่อนแต่งงาน แม่สามีซื้อทั้งรถ-บ้านให้ แต่พอแม่ฉันได้ยินบางอย่างถึงกับตบโต๊ะบอกว่า ไม่แต่งแล้ว

แต่เพราะว่าเราเคยไปกินข้าวกับพ่อแม่ของอาเฟิง ท่านทั้งสองก็ใจดี คุยด้วยง่ายไม่ทำให้เราเกร็ง เราก็เลยไม่เอาคำพูดของแม่มาใส่ใจ ผ่านไปสักระยะ ตอนที่อาเฟิงพาเราไปกินข้าวกับพ่อแม่เขา พวกท่านก็พูดถึงเรื่องแต่งงาน ท่านอยากให้เราสองคนตบแต่งกันสักที

ก่อนแต่งงาน แม่สามีซื้อทั้งรถ-บ้านให้ แต่พอแม่ฉันได้ยินบางอย่างถึงกับตบโต๊ะบอกว่า ไม่แต่งแล้ว

ว่าที่แม่สามีบอกว่าพวกท่านจะซื้อบ้านให้ โดยพวกท่านจะจัดการเอง เราไม่ต้องทำอะไรเลย แถมยังเน้นย้ำว่าคนรุ่นใหม่ต้องมีพื้นที่ส่วนตัวของตัวเอง ไม่ต้องอยู่ร่วมบ้านกับคนแก่ หลังกินข้าวเสร็จเราก็เลยเล่าให้แม่ฟัง แม่ก็โอเค แถมยังชมพ่อแม่เขา

ก่อนแต่งงาน แม่สามีซื้อทั้งรถ-บ้านให้ แต่พอแม่ฉันได้ยินบางอย่างถึงกับตบโต๊ะบอกว่า ไม่แต่งแล้ว

วันต่อมาว่าที่แม่สามีก็พาเรากับแฟนไปดูบ้านใหม่ เราชอบที่บ้านสวยมาก ว่าที่แม่สามีก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงจ่ายเงินทันที แต่ตอนเซ็นต์สัญญาซื้อบ้าน เราเห็นว่าท่านเขียนแค่ชื่อของอาเฟิงไม่มีชื่อเรา แต่ตอนนั้นเราก็ไม่ได้แคร์อะไร เพราะว่าเราก็ไม่ได้ออกเงินสักบาท ก็ไม่ควรเรียกร้องอะไรมากเกินไป

หลังเซ็นต์สัญญาเสร็จเราก็เล่าเรื่องนี้ให้แม่ฟัง ท่านนิ่งไปครู่เหมือนกำลังคิดอะไร หลังจากนั้นก็หยิบโทรศัพท์โทรไปหาพ่อแม่ของอาเฟิง "เตรียมตัว เราจะไปกินข้าวกับพวกเขากัน"
ตอนนั่งกินข้าวกัน แม่ก็ถามถึงเรื่องสินสอด "4 แสนน้อยไปมั้งคะ" ว่าที่แม่สามีได้ยินก็หน้าซีด กระอักกระอ่วน "แต่ก็ให้ทั้งบ้านทั้งรถ เงินสินสอดแค่นี้ก็ไม่น้อยแล้วนะคะ" แม่ได้ยินก็สีหน้าเปลี่ยน "แต่ทั้งบ้านทั้งรถก็เป็นชื่อลูกชายคุณนี่นา อย่างนี้ก็เหมือนลูกสาวฉันแทบจะแต่งเข้าบ้านคุณไปฟรีๆ"

ว่าที่แม่สามีดูจะของขึ้น ชี้หน้าแม่เราแล้วว่าเสียงดัง "คุณรู้มั้ยบ้านหลังนึงราคาเท่าไหร่?" แม่เราก็ทุบโต๊ะโครม "วันนี้ถ้าไม่เขียนชื่อลูกสาวฉันลงไปบนโฉนดบ้าน บ้านจะราคาเท่าไหร่ฉันก็ไม่สน หรือไม่อย่างนั้นก็เพิ่มสินสอดมา คุณตัดสินใจเอง"
ตอนนั้นเองที่โต๊ะอื่นๆในร้านดูเหมือนว่จะเริ่มวิพากษ์วิจารณ์เรื่องของบ้านเรา หลายๆคนเห็นด้วยกับที่แม่เราพูด บอกว่ามีเหตุผล ถึงขนาดมีคนปรบมือให้ ว่าที่แม่สามีเราหน้าเสียสุดๆ แล้วก็ลากอาเฟิงออกจากร้านไป เรากับอาเฟิงมองหน้ากันโดยไม่รู้จะพูดอะไร เรารู้สึกแย่มาก เพราะแค่บ้านกับสินสอดเราสองบ้านต้องทะเลาะกันขนาดนี้ อย่างนี้ยังจะได้แต่งมั้ย?
เจ้าของเรื่องกันแฟนรักกันดี แต่การแต่งงานไม่ใช่แค่เรื่องของคนสองคน แต่มันเป็นเรื่องของสองครอบครัว แต่ในเมื่อจะแต่งงานกันแล้วสินทรัพย์ก็ควรจะเป็นชื่อของทั้งสองคนสิ..

ที่มา liekr

เครดิต :

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
คุณ : u1463249569
สถานะ : บุคคลทั่วไป
IP : 103.58.148.23

103.58.148.23,,host23.148.thvps.com ความคิดเห็นที่ 1 [อ้างอิง]
ขอขอบคุณสำหรับข้อมูล


[ วันเสาร์ ที่ 18 มีนาคม 2566 เวลา 01:38 น. ]
รวมข่าวในกระแส คลิ๊กเลย ++
กระทู้เด็ดน่าแชร์