จากรณีลุงวิศวกรยิงเด็กดับมีหลายฝ่ายออกมาเชียร์กันว่าถ้าเป็นตัวเองอาจจะยิงหมดแม็คไปแล้ว เพราะกลุ่มวัยรุ่นเข้ามาล้อมรถของตนเองทำให้เป็นกังวลต่อคนในครอบครัวที่อยู่ในรถ ล่าสุด ชูวิทย์ ได้ออกมาโพสต์ถึงกรณีดังกล่าวว่า "หากคุณไม่เคยติดคุก คุณคงไม่เข้าใจ ผู้คนสะใจ ที่วัยรุ่นเข้าไปรุมทำร้ายวิศวกร แล้วถูกยิงตาย เพราะวิศวกรต้องปกป้องตัวเองและครอบครัว ผมต้องการให้เรื่องนี้เป็นอุทธาหรณ์ หากพูดด้วยความสะใจก็อาจบอกได้ว่า "เป็นผมจะยิงให้หมดแม็ก" แต่ผมเคยผ่านคุกผ่านตะรางมา ถึงแม้ว่าอีกฝั่งหนึ่งจะมีดาบเป็นอาวุธ (ซึ่งจริงๆแล้วยังไม่มีอาวุธ) แต่หากคุณใช้ปืนยิง เมื่อไปที่ศาลคุณอาจถูกตัดสินว่า "ทำเกินกว่าเหตุ" ผมเคยพบเห็นคนทะเลาะกัน แล้วฝั่งตรงข้ามบุกเข้ามาในบ้านโดยถือดาบ เจ้าของบ้านใช้ปืนยิงสวนบาดเจ็บอยู่ที่ลานจอดรถภายในบ้าน ท้ายสุดถูกตัดสินว่าทำเกินกว่าเหตุ ถามว่าเห็นใจวิศวกรหรือไม่? ที่จำเป็นต้องปกป้อง แม่ และ ลูกเมีย แน่นอนว่าน่าเห็นใจ ทุกคนย่อมปกป้องครอบครัวของตัวเอง แต่เมื่อไปพิสูจน์ที่ศาล ก็จะมีคำถามว่า เมียและแม่ได้รับบาดเจ็บหรือยัง? ถูกทำร้ายหรือเปล่า? ในคอมเม้นต์อาจถามว่า "จะต้องรอให้พวกเขาบาดเจ็บก่อนใช่ไหม?"
ขอโทษนะครับ นี่มันเป็นกฎหมาย เราไม่ได้อยู่ในสมัยคาวบอยที่ใช้ปืนตัดสิน เมื่อมีคนทำผิดก็ต้องถูกลงโทษ เมื่อเขายิงคนตาย ก็ต้องถูกดำเนินคดี ยิ่งถ้าคุณยิงโดยเจตนาเอาปืนจ่อเพื่อเล็งเห็นผล ก็จะกลายเป็นเจตนาฆ่าโดยทันที วิศวกรจะต้องต่อสู้ว่า ไม่เจตนาจะยิงเพื่อจะเอาถึงชีวิต ตั้งใจยิงขู่ พอดีกระสุนปืนมันดันไปถูกเข้า ผมอธิบายให้สังคมฟังก็เพื่อให้เข้าใจว่า "การตัดสินทางกฎหมาย ไม่เหมือนกับการตัดสินทางสังคม" คุณต้องไปพิสูจน์กันที่ศาล ว่าการที่ฝั่งตรงข้ามเสียชีวิตเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุหรือไม่? นี่ยังดีที่วิศวกรยิงไปแค่นัดเดียว หากยิงหมดแม็กแบบที่คนคอยเชียร์กันเพื่อความสะใจ นั่นหมายความว่าเขาจะไม่รอดพ้นจากการติดคุก และโทษอย่างต่ำต้องมี 15 ปี จำนวนปีจะเพิ่มขึ้นไปตามกระสุนที่คุณยิง
สังคมย่อมเห็นใจวิศวกรที่ถูกรุมทำร้าย แต่ที่น่าเห็นใจยิ่งกว่าคือ หากต่อสู้แล้วแพ้คดี ใครจะอยู่คอยปกป้อง แม่ และ ลูก เมีย เขา?"