ท้ายสุดชีวิตเปลี่ยน ผมต้องไปติดคุกติดตะราง จึงเอามาเป็นอุทธาหรณ์ให้พวกปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมฟัง
เสียงปืนนัดเดียว เปลี่ยนชีวิตคนทั้งครอบครัว หากใจเย็นสักนิดชีวิตยังพบสิ่งที่น่าอภิรมย์อีกแยะ อย่าได้แผ้วพานก้าวขาไปเฉียดคุกเลยเชื่อผมเถอะ
ผมพูดในโลกของความเป็นจริง เรื่องทะเลาะเบาะแว้งจอดรถซ้อนคันหรือขับปาดหน้ากันตามท้องถนนมีให้เห็นอยู่ทุกวัน แต่ถ้าทะเลาะกันแล้วใช้ปืนตัดสินก็ไม่ต้องใช้กฎหมาย สังคมจะอยู่ลำบาก เพราะจะมีคนยิงกันทุกวัน
จากความเห็นของผมต้องชั่งน้ำหนักความหนักเบาของผู้กระทำทั้งสองฝ่าย ฝั่งหนึ่งวุฒิภาวะเป็นเพียงเด็ก 16-17 ปี ทำตัวกร่าง เลือดร้อน เพื่อนพ้อง ศักดิ์ศรี "มึงไม่ต้อง เดี๋ยวกูเอง" แต่ไม่ใช่โจรผู้ร้ายโดยสันดาน แม้จะกรุ้มรุมทำร้าย แต่อาวุธไม่มี คดีแค่ทำร้ายร่างกาย ยังไม่ถึงชีวิต จะไปคาดการณ์ล่วงหน้าไม่ได้ว่าอาจจะถูกกระทืบตาย ก็เลยยิงปืนให้อีกฝั่งหนึ่งตายไปก่อน (คนอาจจะถามว่า ต้องรอให้ตายก่อนใช่ไหม? ขอโทษนะครับ กฎหมายมันต้องรอจริงๆ)
ส่วนอีกฝั่งเป็นวิศวกรอายุ 50 ปี มากับครอบครัว แม่ ลูก เมีย ใจร้อนและพกอาวุธปืน เห็นได้จากคลิปต้นเหตุ ว่าภัยยังไม่มีก็คิดจะใช้ปืนในการตัดสิน ด้วยการขึ้นลำปืนและตะโกนว่า "เดี๋ยวยิงแม่งเลย" เห็นได้ว่ายังไม่เกิดเหตุ แค่จอดรถซ้อนกันและกระทบกระทั่งทางวาจา ก็จะใช้ปืนตัดสินเสียแล้ว
ใจร้อนแล้วยังพกปืน ก็ทำให้เรื่องมันยิ่งเลวร้าย แทนที่จะทะเลาะแล้วต่างแยกย้ายกันไป
สังคมไม่มีสิทธิ์ตัดสินว่า "ใครสมควรตาย" แม้จะเอือมระอากับวัยรุ่นขาโจ๋ แต่ไม่ใช่ใช้ความสะใจมาตัดสินแล้วบอกว่า "เป็นผมจะยิงให้หมดแม็ก" เพราะยิงนัดเดียว กับยิงหลายนัดเจตนามันไม่เหมือนกัน เหมือนแทงคนหนึ่งที อ้างว่า "บันดาลโทสะ" ได้ แต่แทงหลายทีจะกลายเป็น "เจตนาฆ่า"
ศาลไม่สามารถตัดสินตามกระแสสังคม หากใช้ปืนตัดสิน เดี๋ยวก็มีอีก ขับรถปาดกัน ชกต่อยกันก็คว้าปืนยิงใส่แม้ว่าจะปกป้องครอบครัว เพราะที่ผ่านมาผมพบคนที่ใจร้อนแล้วใช้ปืนตัดสินปัญหา ล้วนจบชะตากรรมอยู่ในคุก เบาบ้าง หนักบ้าง
บางคนหาว่าผมโลกสวย แต่โลกของผมผ่านมาทุกอย่าง สูง ต่ำ ดำ ขาว ไม่ใช่พวกเก่งแต่ในคอมเม้นต์ เป็นนักเลงคีย์บอร์ด พอเจอของจริงเสือกหาทางออกไม่ได้