ย้อนจุดเริ่มต้น ทักษิณ-พจมาน จากสาวน้อยเซนต์โย รักแรกพบนักเรียนนายร้อยหนุ่ม
ความฝันของเขาคืออยากเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อยากเป็น วิศวกรโยธาตามรอยคุณอา ซึ่งเป็นวิศวกรคุมงานที่เขาเคยเห็นการทำงานแล้วทึ่งมาก แต่แล้วก็ต้องเปลี่ยนเข็มทิศชีวิตกลางครัน ด้วยภาพของนักเรียนเตรียมทหารหนุ่มที่ยืนทรนงองอาจสมชายชาติทหารที่ทำให้เขาเปลี่ยนความคิดและเลือกเข้าเรียนที่โรงเรียนเตรียมทหาร
ด้วยผลการเรียนดีอยู่แล้ว ทำให้หนุ่มสันกำแพงสอบข้อเขียนผ่านฉลุย แต่โชคชะตาเล่นตลกเมื่อเครื่องตรวจเอกซเรย์ทำงานผิดพลาดพบปอดมีจุด ทั้งที่ความจริงแล้วเขามีสุขภาพดีทุกอย่าง แต่ด้วยสายเลือดนักสู้ เขาไม่ยอมแพ้ง่ายๆ กลับมาสอบใหม่ครั้งที่สอง เพื่อตามฝันของตัวเอง และตรวจโรคอีกครั้งพบว่าร่างกายปกติทุกอย่าง
ชีวิตนักเรียนเตรียมทหารฝึกหนักมาก แต่สำหรับเขาที่ผ่านการทำงานหนักมาตั้งแต่เด็ก ทำให้เรียนผ่านมาได้ด้วยดี จนก้าวเข้าสู่โรงเรียนนายร้อย ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะต้องเลือกเหล่า ใจหนึ่งเขาอยากเลือกทหารบก แต่ญาติพี่น้องตระกูลชินวัตรก็เลือกเรียนกันไปแล้วหลายคน พอคิดว่าจะเรียนทหารอากาศ ก็มีญาติเลือกเรียนไปแล้วอีกเช่นกัน ทหารเรือล่ะ? เด็กภูเขาอย่างเขาว่ายน้ำไม่เก่งเอาซะเลย สุดท้ายก็ลงเอยที่ตัวเลือกตำรวจ
เคยเรียนเก่งอย่างไร เมื่อเขามาเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจก็เรียนเก่งอย่างนั้น ทุกอย่างดีพร้อมจนได้ตำแหน่งสำคัญเป็นหัวหน้าตอน ดูแลเพื่อนๆ ที่เป็นลูกตอน และยังทำให้ทักษิณเป็นที่รู้จักดีในหมู่รุ่นพี่รุ่นน้อง
จนกระทั่งวันหนึ่งรุ่นน้องชื่ออ๊อด (พงส์เพ็ชร ดามาพงศ์) ถูกกักบริเวณ แต่จำเป็นต้องใช้เสื้อฝึก จึงขอให้เขาช่วยโทรติดต่อคนทางบ้านให้นำเสื้อฝึกมาให้ด้วย คำขอร้องนี้เองคือจุดเริ่มต้นของพรหมลิขิต เมื่อน้องสาวของอ๊อดนำเสื้อฝึกมาฝากไว้ที่บ้านคุณอา แต่นักเรียนนายร้อยหนุ่มทักษิณก็ออกไปธุระข้างนอกพอดี ทำให้คลาดกันอย่างน่าเสียดาย หนำซ้ำยังทำให้คุณอาเข้าใจผิดคิดว่าเด็กสาวคนนั้นเป็นแฟนของทักษิณ
"ผมทักษิณนะครับ เป็นรุ่นพี่ของอ๊อด คือเสื้อที่คุณเอามาฝากไว้มันผิดนะครับ ต้องเป็นเสื้อคอวีไม่ใช่คอกลม ไม่ทราบจะหามาเปลี่ยนใหม่ได้ไหม" เสียงนุ่มๆ เบาๆ จึงตอบกลับมา
"ได้ค่ะ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวจะเอาไปให้นะคะ" บทสนทนาสั้นๆ จบลง และโทรศัพท์ถูกวางสายไปแล้ว แต่หัวใจของนักเรียนนายร้อยหนุ่มกลับเต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะ เขาได้คิดหาวิธีที่จะได้พบหน้าเธอ โดยขออาสาชวนเธอไปเปลี่ยนของที่ร้านเสื้อ เพื่อจะได้เลือกเสื้อไม่ผิด ส่วนเธอก็อาสาจะขับรถไปส่ง หลังจากนัดหมายกันแล้ว เขาก็ได้แต่ตื่นเต้นนั่งคอยทั้งวันที่จะพบหญิงสาวที่ชื่อ "พจมาน"
ดร.ทักษิณเล่าย้อนอดีตในวันวานให้ฟังว่า "ผมจำได้แม่นยำ ผมพบพจมาน ดามาพงศ์ ครั้งแรก วันที่ 3 พฤษภาคม 2513 วันนั้นเธอสวมกระโปรงชุดสีเขียวตองอ่อนกับดำ รวบผมยาวสลวยติดโบไว้ข้างหลัง ดวงตาโตฉายแววอ่อนโยนใจดี หากมีประกายเด็ดเดี่ยวเร้นอยู่"
ในสนามการเรียนนักเรียนนายร้อยทักษิณไม่เคยกลัวใคร แต่ในสนามความรักเขากลับหวั่นไหวและกลัวคู่แข่งอยู่ไม่น้อย หนุ่มบ้านนอกอย่างเขาคุยก็ไม่เก่ง หนำซ้ำไม่ใช่คนพูด "หวาน" แต่เป็นคนพูด "จริง" แถมยังออกแนวขวานผ่าซากอีกด้วย การเปิดฉากชวนสาวคอนแวนต์คุยในวันนั้น จึงผิดความหมายไปไกลมาก กลายเป็นความทรงจำฝังใจคุณอ้อมาจนทุกวันนี้
"น้องอ้อ เข้าเรียนมหาวิทยาลัยแล้วหรือยังครับ" เป็นคำถามซื่อๆ เพื่อชวนคุยที่หนุ่มวัย 21 ปีคิดแล้วว่าน่าจะสร้างบรรยากาศที่ดี แต่กลับผิดคาด สาวน้อยคอนแวนต์วัยไม่ถึง 16 ปี ถึงกับเงียบไปชั่วขณะ แล้วอ้อมแอ้มตอบกลับมาว่า "อยู่ ม.ศ.3 เซนต์โยเซฟ คอนแวนต์ค่ะ"
ประโยคแรกก็พลาดเสียแล้ว เพราะทำให้น้องอ้อคิดว่านักเรียนนายร้อยหนุ่มมองเธอว่าอายุมากเกินจริง บันไดก้าวแรกอาจจะก้าวผิดจังหวะ แต่เลือดนักสู้อย่างเขามีหรือจะยอมย่อท้อ บันไดก้าวต่อไปจึงต้องอาศัยความพยายามให้มากขึ้นกว่าเดิม เพื่อพิสูจน์ให้เห็นความจริงใจและมั่นคง
โชคยังดีที่มีพี่ชายของน้องอ้อเป็นพ่อสื่อตัวหลักคอยช่วยอีกแรง ทำให้การนัดกินข้าว ดูหนัง และติดสอยห้อยตามพี่ชายเธอไปพบน้องอ้อที่บ้านเป็นไปอย่างราบรื่น การเข้าตามตรอกออกตามประตูของนายร้อยหนุ่มอยู่ในสายตาครอบครัวดามาพงศ์มาโดยตลอด สุดท้ายก็ได้รับอนุญาตให้ไปรับส่งน้องอ้อได้ทุกวัน
"ดูแล้วบุคลิกเป็นผู้ใหญ่ ไม่ใช่คนเหลาะแหละ ไม่น่ามาเกี้ยวลูกหลานเราเล่นๆ" ญาติผู้ใหญ่ครอบครัวดามาพงศ์ต่างเห็นพ้องต้องกัน การสอบผ่านสายตาผู้ใหญ่ครั้งนี้จึงเปรียบเสมือนเป็นใบเบิกทางให้ต้นรักแรกพบของนักเรียนนายร้อยทักษิณ และพจมานสาวน้อยคอนแวนต์ ค่อยๆ เติบโตอย่างช้าๆ ด้วยความมั่นคง
"บุคลิกนุ่มนวลที่แฝงความเข้มแข็งในที เป็น "บุคลิกพิเศษ" บางอย่างซึ่งน่าประทับใจมากกว่าความสวยธรรมดาและทำให้ผมตกหลุม "รักแรกพบ" หรือที่เรียกกันว่า Love at first sight ผู้หญิงคนนี้ทันที"