สนั่นเอเชีย! สื่อนอกเกาะข่าว พี่ตูน เชิดชูทำประโยชน์เพื่อแผ่นดิน น่าละอายใจคนไทยบางคนยังทับถม!

สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานข่าว การวิ่ง ในโครงการก้าวคนละก้าว เพื่อ 11 โรงพยาบาล วันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 ชาแนลนิวส์เอเชีย ได้รายงานข่าว การวิ่งของ นายอาทิวราห์ คงมาลัย หรือ ตูน บอดี้สแลม อดีตนักร้องดัง ที่กำลังทำภารกิจ การวิ่งหาเงินเพื่อช่วยเหลือโรงพยาบาลรัฐ จำนวน 11 แห่ง ตั้งเป้า 700 ล้านบาท วิ่งจาก ใต้สุด อ.เบตง จังหวัดยะลา ไปสู่เหนือสุด อ.แม่สาย จังหวัดเชียงราย ระยะทาง 2,191 กิโลเมตร เป็นเวลา 55 วัน โดยในวันจันทร์ที่ 13พฤศจิกายน เป็นวันที่ 11 ของการวิ่งระยะทางรวมแล้วกว่า 500 กิโลเมตร

ชาแนลนิวส์เอเชีย เป็นสื่อประเทศสิงคโปร์ ได้ระบุว่า ความพยายามครั้งนี้ของตูน ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้ออกวิ่งเพื่อหาเงินบริจาคมอบแด่โรงพยาบาลต่าง ๆ เพราะครั้งแรกของตูน เขาได้ทำเมื่อเดือนธันวาคม 2016 เขาเคยวิ่งเป็นระยะทาง 400 กิโลเมตร เพื่อระดมทุนได้ 63 ล้านบาท ส่วนเป้าหมายของการวิ่งหนล่าสุดคือยอดบริจาค 700 ล้านบาท

สื่อสิงคโปร์ ยังได้สัมภาษณ์ ตูน โดยเขา บอกกับสื่อแห่งนี้ว่าเขาเลือกวิ่งแทนทำสิ่งอื่นๆอย่างเช่นจัดคอนเสิร์ต เนื่องจากมันไม่ต้องใช้เงินมากมาย ผมเป็นนักร้องไม่ใช่นักกีฬาอาชีพ มีคนถามผมว่าทำไมผมถึงไม่จัดคอนเสิร์ตสำหรับระดมทุนเพื่อบริจาคให้โรงพยาบาลเหล่านี้แต่คอนเสิร์ตมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างมากและเราอาจเหลือเงินแค่เล็กน้อย ซึ่งไม่เพียงพอที่จะซื้ออุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับโรงพยาบาลเหล่านั้นดังนั้นจึงลองคิดว่า จะเรี่ยไรเงินได้อย่างไรโดยที่ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย? ไม่ต้องใช้อะไรนอกจากออกวิ่งเพื่อสะท้อนปัญหา แล้วขอรับเงินบริจาคบ้างระหว่างทาง

นอกจากนั้นแล้วสื่อสิงคโปร์ รายนี้ยังได้สะท้อนถึง งบประมาณด้านสาธารณสุขของประเทศไทยในปี 2017 ที่มีกว่า 255,000 ล้านบาท ซึ่งต้องใช้กับโรงพยาบาลรัฐเป็นพันแห่ง จึงไม่เพียงพอต่อโรงพยาบาลในชนบท

สื่อสิงคโปร์ยังซักถาม กรณีที่มีคนออกมาวิพากษ์วิจารณ์ ว่าเป็นการแสดงเท่านั้น ไม่สามารถแก้ไขปัญหาระยะยาวได้ ซึ่ง ตูน ตอบเรื่องนี้สั้น ๆ ว่าเขาไม่ได้คิดว่าจะต้องมีใครมาชื่นชมการกระทำของเขา เพราะไม่ใช่ฮีโร่ ไม่ใช่คนพิเศษ ฮีโร่ตัวจริง คือ หมอ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลทุกคน

ชาแนลนิวส์เอเชีย ยังได้สะท้อนปัญหาสุขภาพของไทยว่า คนไทย 48 ล้านคน หรือ 75 เปอร์เซ็นต์ ของประชากรทั้งหมด ต้องอาศัยระบบประกันสุขภาพของรัฐ และ รัฐต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในทุกปี ขณะที่หมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขเองก็มีคนไข้เกินจะรับได้ ทำงานหนักกว่าปกติ ทำให้เกิดการออกจากงาน เพื่อไปทำงานยังสถานพยาบาลเอกชนมากยิ่งขึ้น